EasyBlog

This is some blog description about this site
รีวิว Thai Air Asia X บินตรงสู่โอซาก้า

สวัสดีฤดูร้อนครับเพื่อนๆ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็เข้าสู่หน้าร้อนเป็นที่เรียบร้อยแล้วพร้อมกับอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆจนไม่ต่างจากบ้านเรา! อย่างไรก็ตามช่วงหน้าร้อนนี้แหละ คือ นาทีทองของหลายๆคนที่รอคอยเพราะช่วงหน้าร้อนคือ หน้า low season ของญี่ปุ่นและนั่นหมายความว่า ตั๋วเครื่องบินจะถูกเป็นพิเศษรวมไปถึงโรงแรมที่พักด้วยล่ะครับ และสำหรับวันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่โอทารุจะได้มารีวิวสายการบินยอดฮิตของชาวไทยหลายล้ายคน นั่นก็คือ Thai Air Asia X นั่นเอง! เอาล่ะ คลิกอ่านเนื้อหาเพิ่มกันได้เลย ณ บัดนี้!

ปัจจุบันสายการบิน Air Asia ไม่มีใครในเมืองไทยไม่รู้จักเพราะสายการบินนี้คือ สายการบิน Low Cost ที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดและคนส่วนมากก็ใช้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆเวลาไปญี่ปุ่นครับ แน่นอนว่าด้วยราคาที่ไม่แพงมากนัก (ถ้าได้ราคาโปรโมชั่น) และบินตรงจากประเทศไทย ไม่ต้องต่อเครื่องให้หวาดระแวงใจสำหรับมือใหม่ ก็ส่งผลให้สายการบืนนี้ฮิตติดจรวดไปโดยปริยายล่ะครับ!!

ขณะนี้ (กรกฎาคม 2017) Thai Air Asia X มีเส้นทางบินตรงสู่ประเทศญี่ปุ่นจากสนามบินดอนเมือง คือ สนามบินนาริตะ และสนามบินคันไซ ครับ ส่วนสนามบินชินชิโตเสะ เกาะฮอกไกโด "ถูกห้ามบินชั่วคราวจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง" ด้วยเหตุผลโดนใบแดงจากการที่ประเทศไทยสอบตกด้านมาตรฐานความปลอดภัยจาก ICAO.....

อย่างไรก็ตามครั้งนี้ผมไม่ได้จะมาเล่าเรื่องเราโดนธงแดงอะไรหรอกครับแต่จะเป็นโอกาสที่ผมขออนุญาตเขียนเล่าประสบการณ์กึ่งรีวิวสายการบินสุดฮิตสายนี้ให้เพื่อนๆได้รับทราบเป็นข้อมูลไว้ประกอบการเที่ยวญี่ปุ่นกันครับ

**ทั้งนี้ขอแจ้งเพื่อนๆก่อนว่าการรีวิวในครั้งนี้ โอทารุบินตอนที่เที่ยวบินยังไม่เปลี่ยนเวลา ยังใช้เวลาเดิมอยู่คือ เครื่องออก 15:20 น. จากดอนเมืองและถึงคันไซตอน 22:40 น. ส่วนขากลับยังเป็น 24:10 น. และ ถึงเมืองไทยตอน 04:00 น. ครับ ส่วนตารางบินด้านล่างนี้คือ ตารางเวลาบินล่าสุดที่ผมเช็คตอนเขียนบล็อก (กรกฎาคม 2017) ดังนี้

XJ 610 : ดอนเมือง (DMK) 14:15 น. - คันไซ (KIX) 22:00 น.

XJ 611 : คันไซ (KIX) 23:55 น. - ดอนเมือง (DMK) 03:45 น.

จากตารางเวลาที่แสดงอยู่นี้ขอแนะนำว่า เพื่อนๆควรไปถึงสนามบินดอนเมืองตอน 12:00 น. เป็นอย่างช้านะครับ เพราะเดี๋ยวนี้การผ่านด่านตม. ขาออกจะมีความหนาแน่นเป็นอย่างมาก ยิ่งใครจะบินช่วงเทศกาลขอบอกเลยว่า ควรเผื่อเวลาล่วงหน้าสักสามชั่วโมงก่อนเครื่องออกเลยก็ดี เพราะถ้ามาช้าสายการบินเขาไม่รอคุณแบบรถทัวร์หรอกนะครับ!

เอาล่ะ กลับมาที่โอทารุกันบ้าง --> ผมเองก็เดินทางมาที่สนามบินดอนเมืองด้วยรถแท็กซี่นี่แหละ สะดวกดี ให้คนขับจอดที่อาคาร 1 ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศนะครับ (ใครมาจากต่างจังหวัด ท่านจะมาโผล่ที่อาคาร 2 ให้เดินทะลุอาคารมาได้เลย มันเชื่อมกันครับ) ในทริปนี้ผมได้ทำการเช็คอินมาล่วงหน้าแล้วในระบบ internet แต่ก็ต้องมาโหลดกระเป๋า ก็เลยต้องมีการต่อคิวกันนิดหน่อยครับ

ต่อแถวไปได้สักยี่สิบนาทีก็ได้โหลดกระเป๋าเรียบร้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ส่วนของผู้โดยสารขาออกและเตรียมผ่านด่าน ตม. และตรวจของเหลวก่อนเข้าสู่ด้านในโถงผู้โดยสารขาออกครับ ใครซื้อของใน King Power ไว้ก็อย่าลืมมารับไปตอนขาออกนี้แล้วถือออกนอกประเทศไปด้วยนะครับ ถ้าลืมไปรับล่ะก็บอกได้เลยว่า "งานเข้า" แน่นอนครับ ส่วนภายในของสนามบินดอนเมืองแห่งนี้ขอข้ามไปเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะน่าจะเห็นกันเยอะตามกระทู้แล้ว เอาเป็นว่าร้านรวงต่างๆ น้อยกว่าสุวรรณภูมิเยอะและของกินก็ "แพงกว่าข้างนอกเป็นปกติ" (ใครอยากประหยัดแนะนำให้ทานมาตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านหรือฟู้ดคอร์ทที่อยู่ใกล้อาคาร 1 นะครับ)

และแล้วเมื่อได้เวลาก็เตรียมตัวเดินเข้าสู่เครื่องบินกันได้เลยครับ นั่นไงเครื่องบินของเราในวันนี้!

สำหรับเครื่องบินที่ใช้ในวันนี้จะเป็นแบบ Airbis A330-300 มีที่นั่งชั้นธุรกิจ 12 ที่นั่งและชั้นประหยัดอีก 365 ที่นั่งครับ โดยผังที่นั่งของชั้นธุรกิจจะเป็นแบบ 2-2-2 ส่วนชั้นประหยัดจะเป็นแบบ 3-3-3 (แต่ช่วงท้ายเครื่องจะหดเหลือ 2-3-2 ตามลำตัวของเครื่องบิน)

สภาพโดยรวมของที่นั่งนั้น ส่วนตัวผมเองพอรับได้ครับ (ผมสูงแค่ 160 เซนติเมตร) ส่วน Seat Pitch (ระยะห่างระหว่างเบาะเราไปจนถึงเบาะหน้า) จะอยู่ที่ 32 นิ้วซึ่งจัดว่าอยู่ในมาตรฐานพอดี แต่ความกว้างของที่นั่ง (Seat Width) จะค่อนข้างแคบหน่อยที่ 16.5 นิ้วเท่านั้นครับ ใครเป็นคนตัวใหญ่หรือขายาวอาจจะอึดอัดพอสมควรทีเดียว

ทีนี้มาพูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวดบนเครื่องกันบ้าง...หลายๆคนที่เคยบินพรีเมี่ยมมาบ่อยๆ ถ้าเพิ่งเคยบิน Low Cost อาจจะตกใจหน่อยนะครับ เพราะเครื่องบินของ Air Asia X ในขณะนี้ "ยังไม่มีการติดตั้งจอทีวีส่วนตัวมาให้ในทุกที่นั่ง ชั้นธุรกิจก็ไม่มีนะจ๊ะ" สรุปง่ายๆว่าการบินห้าหกชั่วโมงที่จะถึงนี้ "เชิญโหลดเกม โหลดหนัง/การ์ตูนใส่ smart phone หรือ ipad ของตัวเองมาเล่นได้เลยครับ" และที่สำคัญคือ กรุณาเอา Powerbank ขึ้นมาชาร์จด้วยเพราะที่นั่งชั้นประหยัด "ไม่มีปลั๊กไฟให้เสียบแบบหลายๆสายการบินนะครับ" (แต่ชั้นธุรกิจมีนะ ไม่ต้องห่วง) หรือถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็มีอีกสองทางเลือกคือ อ่านนิตยสารที่อยู่ตรงกระเป๋าหน้าที่นั่ง/อ่านหนังสือที่เตรียมมา และ...นอนหลับไปซะ

ตัวโอทารุเองก็เตรียมตัวไว้แล้วครับ พก powerbank ชาร์จไฟมาเต็มมี่พร้อมโหลดโดเรมอนกับนินจาฮาโตริไว้ดูเต็มที่ถึง 5 ชั่วโมง ว๊ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า....ปรากฏว่าดูจริงแค่สองชั่วโมงครับ ที่เหลือเมื่อยคอและก็กินกับงีบหลับไปหน่อยนึง

อ้อ! ขอพูดถึงอาหารสักนิดว่า ถ้าใครจะกินจริงๆ แนะนำให้จองออนไลน์ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วจะดีกว่าครับ ก็มันถูกกว่าแถมอาจมีโปรโมชั่นด้วย ถ้ามาซื้อบนเครื่องเลยอาจจะจ่ายแพงกว่าครับ ส่วนตัวผมเองนั้น....."กินเพื่ออยู่" ครับ เพราะเรามีอาหารอร่อยรออยู่ที่ญี่ปุ่น ดังนั้นผมจึงไม่ลังเลด้วยการสั่งแค่ "นิชชินคัพนูดเดิ้ล" มากินแก้หิวพอละ หุหุ  

สำหรับห้องน้ำของเครื่องบินลำนี้ สำหรับชั้นธุรกิจก็แยกไปเลย 1 ห้อง ต่อ 12 คน ส่วนชั้นประหยัดจะอยู่หลัง Quiet Zone หนึ่งห้อง แล้วก็กลางลำอีกสี่ห้อง แล้วก็มีที่ท้ายเครื่องอีกสองห้อง รวมทั้งสิ้น 7 ห้องต่อ 365 คนครับ! ส่วนตัวแอบติดใจห้องน้ำอ่ะ เพราะห้องน้ำบนเครื่องมีหน้าต่างด้วย (ปกติไม่ค่อยเจอ) ว่าแล้วก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย เป็นหน้าต่างทรงกลมครับ

และแล้วเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งใกล้เวลาเครื่องจะลง เหล่าแอร์โฮสเตสก็เริ่มเดินแจกใบตม. เข้าประเทศญี่ปุ่นและใบศุลกากรครับ ผมก็รับไว้แล้วกรอกเอกสารให้เรียบร้อยในทันที จะได้ไม่หาที่เขียนตอนอยู่ในสนามบินไงครับ พอหันไปมองนอกหน้าต่างก็พบว่า ข้างนอกนั้นมืดสนิทแล้ว....ก็แน่ล่ะ มันสี่ทุ่มแล้วนี่นา! จากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ เครื่องบินสีแดงจากไทยแลนด์ก็ลงจอดที่สนามบินนานาชาติคันไซ (KIX) อย่างปลอดภัยครับ

จังหวะที่ทุกคนเตรียมลงจากเครื่องนั้น ผมขอเตือนเลยว่า ผู้โดยสารเป็นจำนวนมากจะพร้อมใจกันวิ่ง...วิ่งเพื่อไปด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทันรอบรถไฟ...ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนแบบตอนที่ผมมานั้น...รถไฟ/รถบัสวิ่งถึงห้าทุ่มกว่านั้น ขอบอกเลยว่าเข้าใจแหละว่าต้องทำเวลา...แต่ปัจจุบันนี้ "ไม่ต้องรีบขนาดนั้นแล้วครับคุ๊ณณณณณ" เขามีรถบัสไปส่งที่สถานี Umeda ทั้งวันทั้งคืนแล้วจ้า ส่วนใครจะไป Namba ก็มีรอบรถถึงเที่ยงคืนกว่าโน่น ส่วนเครื่องลงตอนสี่ทุ่มตรง ดังนั้นสองชั่วโมงครึ่งจึงมีมากพอให้หายใจหายคอได้ล่ะครับ (ยกเว้นเจอคิวแน่นที่ด้านขาเข้า อันนั้นก็วัดดวงกันไป แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ยินข่าวว่ามีคนตกรถนะครับ)

อย่างไรก็ตาม สำหรับโอทารุเองก็ตั้งใจไว้แล้วว่า "จะนอนค้างสนามบินเพื่อเป็นประสบการณ์" ดังนั้นก็เลยไม่ได้รีบจ้ำอ้าวแต่ประการใดครับ

จากตรงนี้เมื่อเครื่องลงแล้วก็ให้เราเดินตามป้าย Arrival ไปแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าข้ามมาที่อาคารหลักเพื่อต่อแถวเข้าด่านตรวตคนเข้าเมืองต่อไปนะครับ ส่วนท่ารถบัสจะอยู่ด้านนอกอาคาร 1 ชั้น 1 เลยครับ ไม่ยากๆ หรือจะตามคลื่นมหาชนไปก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนนิยมนอนที่สนามบินกันเท่าไหร่ครับ ^^ 

สำหรับใครที่เตรียมตัวเข้าเมืองก็ซื้อตั๋วรถบัสหรือรถไฟให้เรียบร้อยแล้วก็เชิญเดินทางตามแผนที่วางไว้ต่อนะครับ ส่วนผมก็ปักหลักนอนที่สนามบินค่อยเข้าเมืองตอนเช้าครับ!

แถมให้นิดนึงว่า ใครจะนอนที่สนามบินไม่ต้องห่วงเรื่อง "ของกิน" เลย สบายมากๆ เพราะท่านจะได้พบกับร้านเนื้อวัว Gyudon 24 ชั่วโมง พร้อมด้วย Mcdonald ที่เปิดตลอดเวลาเช่นกันพ่วงกับร้านสะดวกซื้อ Lawson กับ Family Mart ให้ได้เสียเงินเสียทองกันอีก ส่วนที่นอนนั้นต้องข้ามไปนอนที่ Aero Plaza ซึ่งอยู่ถัดไปจาก Terminal 1 ไม่ไกลครับ เดินแค่ห้านาทีเอง แต่ถ้าใครอยากจะพักที่ KIX Lounge ก็สามารถจ่ายเงินแล้วเข้าไปพักผ่อน/นอนได้ครับ 

ขอตัดกลับมาที่วันเดินทางกลับของผม (และทุกคนเลยก็แล้วกัน) ผมเชื่อว่าเกือบร้อยทั้งร้อยคงไม่อยากเดินทางกลับประเทศไทยเป็นแน่...ทว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราไว้หาเงินมาใหม่ก็แล้วกันเนอะ ^^ 

เอาเป็นว่าในวันกลับขอให้เพื่อนๆรักษาเวลาและอย่ามาแบบกระชั้นชิดมากไปนะครับ แม้ว่าเครื่องบินจะออกเกือบเที่ยงคืนแต่ผมแนะนำว่าควรมาถึงสนามบินตั้งแต่ประมาณสามทุ่มจะดี่ที่สุด เพราะว่าคุณควรจะเผื่อเวลา Repack กระเป๋าในกรณีทีน้ำหนักเกินหรือคิวต่อแถวเช็คอินยาว หรือเป็นการเผื่อเวลาเพราะเคยมีเคสรถไฟหยุดวิ่งเข้าสนามบินคันไซเนื่องจากลมแรง/มีพายุก็เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วนะครับ ไม่ใช่เรื่องตลกนะ สุดท้ายบางคนต้องเหมาแท็กซี่จากแผ่นดินใหญ่มาที่สนามบินนะครับ ได้เสียเงินและลุ้นเวลากันฉี่เหนียวเลยล่ะ! ดังนั้นเผื่อเวลาไว้เถอะ เชื่อผม!!!

สำหรับขากลับ ผมก็ยังคงแนะนำให้ทำ Internet Check-in มาก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อแถวเคาน์เตอร์ธรรมดา (ถ้า Check-in มาก่อนแล้ว เข้าช่อง Baggage Drop ได้เลย ซึ่งแถวจะสั้นกว่าพวกที่ยังไม่ได้เช็คอินครับ) ทั้งนี้เคาน์เตอร์ของสายการบินต่างๆ ที่จะออกนอกประเทศญี่ปุ่นจะตั้งอยู่ที่ชั้น 4 Terminal 1 นะครับ (Terminal 2 เป็นของ Peach Airline ซึ่งยังไม่มีบินตรงจากโอซาก้ากลับไทยครับ) 

เมื่อได้รับ Boarding Pass มาแล้วก็ขอให้ทำตามขั้นตอนขาออกจากประเทศและผ่านด่านตรวจของเหลวตามปกติครับ อย่างไรก็ตาม ขอเตือนเพื่อนๆผู้อ่านอีกครั้งหนึ่งว่า เมื่อเข้ามาด้านในของอาคารผู้โดยสารขาออกแล้ว (พอพ้นด่าน ตม. ขาออกนั่นแหละ) ร้านรวงส่วนใหญ่จะปิดหมดแล้ว คงเหลืออยู่บ้างเท่านั้น ใครคิดจะหวังมาช็อปปิ้งน้ำบ่อหน้าที่สนามบินล่ะก็...ไม่สนับสนุนครับ คุณควรซื้อจากในเมืองแล้ว Pack ของให้เรียบร้อยดีกว่านะ ขนมนมเนยก็ตัวเลือกเยอะกว่าด้วยครับ จริงๆนะ!

จากนั้นก็ขอให้ตรวจสอบข้อมูลว่าต้องไปขึ้นเครื่องที่ Gate ไหนครับ มันมีแค่ North Wing กับ South Wing เท่านั้น ไม่ยากเลยครับและเมื่อไปถึงที่ Gate แล้วเราก็สามารถนั่งรอและเล่น Free Wifi ได้จนกระทั่งถึงเวลาขึ้นเครื่องเลยครับ

ผมเองก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยๆ จนได้เวลาเรียกขึ้นเครื่องก็เตรียมตัวเข้าแถวแล้วก็ขึ้นเครื่องครับ

ภายในเครื่องบินก็ยังคงใช้รูปแบบที่นั่งแบบเดียวกับขามาครับ แต่ขากลับนี่ก็ขอเตือนเป็นครั้งที่สามว่า ใครเข้าเครื่องช้า ระวังที่เก็บของบนหัวเต็มนะครับ เพราะขากลับนี่บอกตรงๆว่า สัมภาระงอกมากันเต็มอัตราเกือบทุกคน ทั้งขนมนมเนย กระเป๋า หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าไปจนถึงเครื่องสำอางที่จัดมานาทีสุดท้ายก็มีครับ ก็ไปบริหารจัดการให้เรียบร้อยนะครับ ส่วนโอทารุจับใส่กระเป๋าแล้วโหลดลงใต้ท้องเครื่องเรียบร้อย ตัดกังวลและไม่ต้องไปแย่งช่องเก็บของกับใครครับ (บ้านเรามีเถียงกันเรื่องแย่งที่เก็บของแบบนี้กันบ่อยๆนะครับ โดยเฉพาะเวลาขากลับจากเมืองช็อปปิ้งอย่างญี่ปุ่นนี่แหละ) 

เที่ยวบืนนี้เป็นเที่ยวบินรอบดึกมาก หลายๆท่านน่าจะเหนื่อยกันมาพอสมควร โชคดีที่กัปตันก็หรี่ไฟบนเครื่องบินเร็วครับ หลังจากที่เครื่องกำลังรอทะยานฟ้าผมก็เก็บภาพอีกเล็กน้อยแล้วก็พยายามนอนครับ เพราะขากลับก็ดึกแล้ว ทีวีก็ไม่มี Memory ในโทรศัพท์ก็เต็ม (ลบวีดีโอไปแล้ว 555) ดังนั้นนอนครับ ดีสุด! 

และเมื่อถึงเวลาก่อน 04:00 น. เล็กน้อยเครื่องบินก็ได้แตะพื้นที่สนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ เป็นการจบทริปหน้าร้อนญี่ปุ่นที่โอซาก้าไปอีกหนึ่งครั้ง จากนี้ไปผมก็กลับไปนั่งเก็บเงินเพื่อเตรียมตัวเดินทางสู่ญี่ปุ่น ประเทศในฝันทริปต่อไปครับ! ขอจบการรีวิวแบบง่ายๆ เท่านี้แหละครับ! 

  สรุป

การใช้บริการของสายการบิน Low Cost ในครั้งนี้ ผมขอให้คะแนนเป็นข้อๆตามความรู้สึกที่ได้รับและพบเจอครับ ทั้งนี้ คะแนนของผมเพียงคนเดียวไม่ได้สะท้อนว่าสายการบินนี้ดีหรือไม่ดี เพราะขึ้นชื่อว่าการบริการ มันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และความพอใจของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ดังนั้น โปรดใช้วิจารณญาณก่อนอ่านสรุปด้วยนะครับ!

1. เวลาบินของทริปนี้ : ปกติผมชอบบินดึกถึงญี่ปุ่นตอนเช้ามากกว่า แบบไฟลท์ไปโตเกียวน่ะครับ แต่ปัจจุบันนี้เส้นโอซาก้ายังคงบินด้วยเวลา "ออกบ่ายถึงดึก" เพียงไฟลท์เดียว คะแนนในส่วนนี้ผมจึงให้แค่ 3 เต็ม 5 คะแนน เพราะเท่ากับว่าเราเสียเวลาเที่ยวไปแล้วหนึ่งวันเต็มๆ จริงๆถ้าได้ไฟลท์แบบโตเกียวหรือบินเช้าถึงเย็นก็ยังดีนะครับ คือผมเข้าใจว่าสายการบินก็รู้แหละ แต่ slot เวลาที่สนามบินญี่ปุ่นตอนนี้แทบแตกอยู่แล้ว! ส่วนขากลับที่ออกดึกถึงไทยเช้า ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ เพราะแม้ว่าเราจะได้เที่ยวเต็มวันในวันกลับ แต่เพราะเที่ยวเต็มวันนี่แหละ พอขึ้นเครื่องไปปุ๊บยังไงมันก็ไม่ใช่การนอนราบแบบบนเตียงดังนั้นการนอนแบบนี้นั่งหลับคอพับจะเมื่อยมากๆครับ (ยกเว้นที่นั่งว่างจัด เรานอนยาวเก้าอี้สามตัวเลย อันนั้นคุณโชคดีครับ) แล้วพอลงเครื่องปุ๊บ ถ้าผมทำงานเลย ยอมรับว่าวันนั้นซอมบี้มาทำงานครับ ไม่ก็มีนั่งสัปหงกตอนบ่ายแน่ๆ

อย่างไรก็ตามเรื่องเวลาบินนี่ก็นานาจิตตัง เพราะบางคนก็ชอบเพราะแนวๆว่าเที่ยวเสร็จลงเครื่องไปออฟฟิศได้เลยไม่ต้องเสียวันลาเพิ่ม หรือเพื่อนๆบางคนที่ถึงเช้าตรู่แต่อยู่เชียงใหม่หรือภูเก็ตจะได้ต่อเที่ยวบินในประเทศกลับจังหวัดตัวเองตอนเช้าไปเลยก็เป็นที่ถูกใจของเพื่อนๆหลายคนเช่นกันครับ ดังนั้นบอกแล้วว่า แล้วแต่ความชอบ/ความสะดวกของแต่ละคน

2. อาหาร : เนื่องจากไม่ได้สั่งอาหารอะไรยกเว้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งเราทานที่ไหนก็ได้ หมวดนี้ผมจึงไม่ใส่คะแนนครับ แต่ขอบอกนิดนึงว่าอาหารบนเครื่อง เพื่อนๆ "จ่ายเงินไทยได้นะครับ" สะดวกดีเหมือนกันนะ

3. Inflight Entertainment : ก็มันเป็น Low Cost จะให้มีทีวีแบบพวกสายการบินพรีเมี่ยมได้ยังไงเล่า! กรณีนี้ผมรู้แต่แรกแล้ว ดังนั้นไม่หักคะแนนอะไรครับ เต็ม 5 เอาไป 3.5 ที่ให้เยอะเพราะมันมีหนังสือให้เรานั่งอ่าน เอาจริงๆถ้าใครขยันอ่านมากกว่า 8 บรรทัดเนี่ย เจ้าหนังสือที่ให้มาก็ฆ่าเวลาคุณไปเป็นชั่วโมงแล้วนะครับ! ส่วนใครไม่ชอบอ่าน ก็โหลดหนังโหลดเพลงขึ้นมาก็แล้วกัน!

4. การบริการจากเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินและบนเครื่อง : เอาไป 4 เต็ม 5 โดยรวมไม่ได้แย่และก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนเวลาขึ้นเครื่องบินครับ (แต่จะบอกว่าทริปนี้บนเครื่องมีแอร์โฮสเตสเป็นสาวเกาหลีด้วย เธอยิ้มสวยมากเลยอ่ะ!!!)

5. Airport facilities : ขอให้คะแนนเฉพาะสนามบินคันไซเท่านั้น ดอนเมืองขอไม่ออกความเห็นเพราะ "รู้ๆกันอยู่" ผมให้คะแนน 4.5 เต็ม 5 สำหรับสนามบินคันไซครับ คือ มีสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐาน มีตู้กดน้ำให้ฟรีและ "ตู้ไม่เสีย" ร้านสะดวกซื้อหาง่ายแถมร้านอาหาร 24 ชั่วโมงอีกจำนวนหนึ่ง พร้อม Free wifi ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า ป้ายบอกทางหรือป้ายต่างๆเป็นภาษาอังกฤษก็มีเพียงพอ แต่สนามบินคันไซไม่ใช่สวรรค์การช็อปปิ้งส่งท้ายแบบนาริตะ ดังนั้น ขาช็อปก็จัดการละลายทรัพย์มาจากในเมืองเถอะนะครับ!

 

สุดท้ายขอกล่าวถึงเรื่อง "ค่าตั๋ว" ของเที่ยวบินนี้ คือ ผมเสียเงินไป 11,000 บาท พร้อมโหลดกระเป๋าได้ 20 กิโลกรัมทั้งขาไปและขากลับ แต่ไม่รวมอาหารและค่าเลือกที่นั่งครับ ตอนซื้อได้โปรโมชั่นแล้วล่ะ แต่เพื่อนๆบางคนที่ซื้อไวๆอาจจะได้ราคาหลักแปดเก้าพันก็ได้ ส่วนโอทารุเอง "พอใจมากแล้วครับ" ก็เพราะผมบินไปและกลับตรงกับวันหยุดเทศกาลพอดีอ่ะนะ อีกอย่างผมซื้อก่อนบินแค่สองเดือนเอง ได้เท่านี้ก็โอเคแล้วล่ะ ส่วนใครที่จองล่วงหน้าข้ามปีหรือครึ่งปี มีลุ้นจะได้หลักพันอยู่พอสมควรเลยล่ะครับ ยังไงก็ลองดูโปรจากเพจของแอร์เอเชียบ่อยๆก็แล้วกันนะครับ  

ส่วนคำถามสุดท้าย ถ้าถามว่า จะใช้บริการอีกหรือไม่...ส่วนตัวผมก็ขอบอกว่า "ใช้ครับ ถ้าราคาไปโอซาก้าอยู่ในช่วงประมาณไม่เกินหมื่นสอง (รวมกระเป๋าทั้งไปและกลับ)" ส่วนเส้นทางโตเกียวยังไม่เคยลองใช้บริการ จึงขอแปะไว้ก่อน ไว้มีโอกาสจะมารีวิวให้ใหม่ครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านรีวิวจนจบนะครับ แล้วพบกันใหม่ในสัปดาห์หน้าคร้าบบบบบบ

------------------------------------------------------

ภาพปกจาก https://betteraviationjobs.com/BetterAviation/wp-content/uploads/2017/02/AirAsia-Cabin-Crew.jpg

ภาพที่เหลือทั้งหมดเป็นภาพจากกล้องของโอทารุ มีการลงลายน้ำไว้หมดทุกภาพแล้ว ท่านใดจะนำไปใช้ ขอความกรุณาแจ้งให้กระผมอนุญาตก่อนนะครับ!

------------------------------------------------------

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร?

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากสอบถาม --> เชิญ add friend ทาง Facebook ครับ พิมพ์คำว่า Otaru Taichou ในช่องค้นหา เดี๋ยวว่างๆ ผมจะเข้าไป add เองครับ

 

 

 

ข่าวด่วน! ประตูโคมแดงที่อาซากุสะปิดซ่อมสามเดือน
ชายหาดในจังหวัดฟุกุชิมะเปิดให้ประชาชนลงเล่นน้ำได้อ...