EasyBlog

This is some blog description about this site
พาชมปราสาทคุมาโมโต้ : 1 ปีหลังธรณีพิโรธ

สวัสดีหน้าร้อนแห่งเกาะญี่ปุ่นครับเพื่อนๆ! พบกับโอทารุกันอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์นี้นะครับ! ในวันนี้จะเป็นการเขียนบล็อกเกี่ยวกับเกาะคิวชู ซึ่ง(เคย)เป็นจุดหมายยอดฮิตของนักเดินทางชาวไทยอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนเมษายน 2016 ที่ผ่านมาครับ และเมืองที่ผมจะมากล่าวถึงในวันนี้ก็เป็นจังหวัดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ซึ่งก็คือ จังหวัดคุมาโมโต้และเป็นบ้านเกิดของเจ้าหมีดำแสนเกรียนนามว่า "คุมามง" นั่นเองครับ!

ก่อนอื่นต้องขออธิบายสักนิดว่า เกาะคิวชู คือเกาะที่อยู่ทางใต้ของฮอนชู (เกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น) ห่างจากโตเกียวประมาณ 880 กิโลเมตร ถ้าบินไปก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือนั่งชินคันเซนราวๆ 6 ชั่วโมงครับ มีเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะคือ ฟุกุโอกะและมีสนามบินที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ด้วย ซึ่งประเทศไทยก็มีสายการบินที่บินตรงสู่สนามบินฟุกุโอกะแห่งนี้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ สายการบินไทย (TG) หรือที่เรารู้จักกดันทั่วไปว่า เจ้าป้า/ป้าม่วง นั่นเองครับ! ส่วนสายการบิน Low Cost ขวัญใจขาประหยัดนาม JetStar Airways ที่เคยบินตรงจากไทยนั้น "ยกเลิกเส้นทางนี้ไปแล้วตั้งแต่ตุลาคม 2015" (ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆครับ)

ปัจจุบันนี้คิวชูก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากพอสมควรครับ เพราะมีระยะทางบินที่ไม่ไกลถ้าเรามาจากประเทศทางอาเซียนหรือจีน/เกาหลี ทำให้ตัวเลือกในการเดินทางเยอะมากๆ นอกจากนี้คิวชูเองก็มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่เก่าแก่ไม่แพ้ภูมิภาคอื่น มีธรรมชาติที่สวยงาม การคมนาคมก็สะดวกแถมมีชินคันเซนตัดผ่านด้วยก็ทำให้คิวชูมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาได้ไม่แพ้ทางฝั่งคันโตหรือคันไซเลยล่ะ

ที่สำคัญคิวชูนี่แหละที่เป็นเกาะบ้านเกิดของ "คุมามง" เจ้าหมีสุดเกรียนจอมทะเล้นที่ฉีกกฎความน่ารักของ Mascot ญี่ปุ่นแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า จนถึงขนาดมีเพื่อนๆชาวไทยในเฟซบุ๊กบางท่านให้ฉายาเจ้าหมีตัวนี้ว่า "เรื่องxxไร ยกให้คุมามง" กันเลยล่ะครับ 

นี่ไงหน้าตาของเจ้าหมีดำคุมามง!

และถ้ามีใครสงสัยว่าคุมามงเกิดที่เมืองไหน/จังหวัดไหนก็ขอตอบดังๆเลยว่า ก็เกิดที่เมืองคุมาโมโต้นี่ล่ะ! ซึ่งเมืองคุมาโมโต้เองในสมัยก่อนก็เป็นเมืองขนาดกลาง มีปราสาทเก่าแก่และสิ่งก่อสร้างต่างๆที่น่าสนใจรวมทั้งภูเขาไฟอาโสะ (Mount Aso) ที่ยังไม่ดับคอยเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามา และยิ่งมีเจ้าหมีคุมามงคอยช่วยสร้างกระแสเชิญชวนให้มาเที่ยวกันก็ยิ่งส่งผลให้คุมาโมโต้ "เนื้อหอม+อู้ฟู่" ขึ้นมาอย่างรวดเร็วเชียวล่ะครับและดูเหมือนว่าทุกอย่างก็กำลังไปได้สวย ทว่า.....เมือต้นเดือนเมษายน 2016 ก็เกิดเหตุธรณีพิโรธขึ้นหลายพื้นที่ของจังหวัดคุมาโมโต้ (ชื่อเมืองกับชื่อจังหวัดคือชือเดียวกันครับ) ความเสียหายในครั้งนั้น ถือว่ารุนแรงแม้จะมีผู้เสียชีวิตแค่ 50 คนและบาดเจ็บแค่ 3,000 คนเท่านั้น เพราะความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวนั้น "เกินคาด" คือ รถไฟชินคันเซนต้องหยุดวิ่งเพราะระบบรางชำรุด ดินถล่ม ประตูศาลเจ้าเก่าแก่พังทลาย อาคารพาณิชย์หรือบ้านต่างๆได้รับความเสียหาย รวมทั้งสิ่งก่อสร้างภายในปราสาทคุมาโมโต้ที่ "พังทลาย" ไปหลายส่วนและร่อแร่อีกหลายแห่ง และข่าวนี้ก็โด่งดังไปไกลทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ประชาชนไทยก็คอยเอาใจช่วยและบริจาคสิ่งของช่วยเหลือมากมายจนสถานการณ์ต่างๆก็เข้าสู่ภาวะปกติได้ในเวลาไม่นาน อย่างไรก็ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นในแหล่งท่องเที่ยวยังต้องใช้เวลาอีกมากในการบูรณะซ่อมแซมโดยเฉพาะปราสาทคุมาโมโต้ที่ได้รับความเสียหายหนักมาก ก็ต้องซ่อมแซมกันขนานใหญ่เลยล่ะครับ 

มูลเหตุแห่งการไปเยี่ยมเยือน

บอกตรงๆว่า ตอนต้นเดือนเมษายน ปี 2017 ที่ผ่านมา ได้ตั๋วไปลงฟุกุโอกะ เลยวางแผนว่าจะไปเที่ยวเมืองคุมาโมโต้เสียหน่อยเพราะจำได้ว่าสมัยก่อนฮิตมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ฮิตจนออกทัวร์สองหมื่นกว่าบาทก็ไปคิวชูได้มายั่วกันเพียบ แต่....พอ Jetstar เลิกบินปุ๊บ...ทำไมคิวชูเงียบจัง เงียบจนหายไปจากหน้าจอเร็วมาก แล้วที่ผมงงกว่าก็คือ สมัยตอนบูมๆ ปราสาทคุมาโมโต้สวยๆ ลงกระทู้เพียบ พอแผ่นดินไหวถล่มนี่ "เลิกคบกันเลยเหรอ??" พยายามหาตามเว็บกระทู้ชื่อดังก็มีน้อย ภาพไม่ค่อยมี มีแต่คอมเมนต์บอกว่า ไม่สวยมั่งล่ะ ไม่คุ้มจะมามั่งล่ะ เที่ยวทำไมมีแต่ซากหินมั่งล่ะ โอ้ยยยยยย!!! อ่านแล้วไม่ไขปริศนาให้เราเลย ภาพประกอบก็ไม่มี มีแต่พิมพ์เล่าต่อๆกันมาว่าไม่น่าดูยังงั้นยังงี้ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่า "เออ! ไม่ต้องเชื่อกระทู้ไหนแล้ว ไปเองเลย แล้วก็จะถ่ายภาพเยอะๆมาเล่าให้เพื่อนๆเห็นไปพร้อมกันนี่แหละ" และก็อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากไปตอนปราสาทพังๆนี่แหละ ก็คือ "ชีวิตเราจะมีโอกาสสักกี่ครั้ง ที่เราจะได้เห็นพลังของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถทำลายสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นมีโอกาสก็คว้าไว้เถอะ" และด้วยสองเหตุผลนี่นี้ล่ะครับที่ผลักดันให้ผมไปบุกปราสาทคุมาโมโต้ ^^ 

วันเดินทางจริง

วันที่ 15 เมษายน 2017 ผมได้ขึ้นรถไฟชินคันเซนจาก Hakata มุ่งหน้าสู่เมือง Kumamoto ภายในชินคันเซนถือว่าสวยหรูและมีกลิ่นอายญี่ปุ่นมากๆครับ (ชอบม่านหน้าต่างมาก ญี่ปู๊นญี่ปุ่น) และใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เราก็มาถึงเมืองคุมาโมโต้กันแล้ว!

พอออกจากสถานี JR Kumamoto ไม่ต้องห่วงว่าจะหลงเลยครับ เพราะจะเจอนักท่องเที่ยวมากมายยืนรอต่อคิวขึ้นรถรางที่อยู่ด้านหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง ก็เดินต่อแถวไปเรื่อยๆครับ ไม่นานก็ได้ขึ้นรถรางครับ ^^

ในวันนี้ผมจะเน้นเที่ยวปราสาทคุมาโมโต้ครับ ดังนั้นจึงต้องนั่งรถรางมาลงที่สถานี Kumamotojo-Shiyakusho-Mae (ชื่อยาวจังวุ้ย) แล้วก็เดินเลียบคูน้ำของปราสาทไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะเริ่มเห็นร่องรอยจากธรณีพิโรธเมื่อปี 2016 ได้ทันทีและเดินมาอีกนิดเราก็จะโผล่ด้านหลังรูปปั้นของท่าน Kato Kiyomasa ซามูไรชื่อดังสมัย Sengoku และยังเป็นผู้สร้างปราสาทแห่งนี้ด้วยครับ!

นี่หน้าทางเข้าก็เจอหลักฐานละ!!!

นี่ไงครับ ท่าน Kato Kiyomasa

หลังจากถ่ายภาพกับท่าน Kato แล้ว ผมก็เดินเข้าสู่ลานด้านหน้าตรงสะพาน ซึ่งหลังจากที่เจอแผ่นดินไหวถล่มไป ทางเข้าที่ว่านี้ (ชื่อ Hazekata-Gate) ก็ถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปครับ (ตามภาพ) ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงต้องเดินไปตามทางที่เขาบังคับไปโดยปริยายและเข้าสู่โซน Josaien ครับ

ภายใน Josaien นั้น ตอนผมไปต้องบอกว่า "วุ่นวายสุดๆ" เพราะ "ทัวร์จีนลงเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก" มากจนแบบผมนึกว่าเดินอยู่แถวเมืองซูโจวกันเลยทีเดียว คือ ร้านรวงนี่แน่นขนัดไปหมดและใครที่หวังว่าจะหาข้าวกลางวันทานแถวนี้ล่ะก็ หมดสิทธิ์!!! รอคิวไปเหอะ นานมาก ยกเว้นทานพวกซอฟต์ครีมหรือขนมเล็กๆน้อยๆ อันนี้รอไม่นานครับ  ตัวผมเองก็ฝ่าดงเข้าไปซื้อโมจิช็อกโกแลตกับเขาเหมือนกัน คือ ตอนแรกมันมีให้ชิมฟรี ตอนแรกก็เฉยๆนะ แต่พอชิมไปสักสามลูก เฮ้ย!!! อร่อยกว่าที่คิด ดังนั้นก็เลยซื้อมาเยอะเลยครับ 555 พนักงานขายของก็ยินดีให้บริการตามสไตล์ญี่ปุ่นและสร้างความประทับใจให้ผมเช่นเคยครับ

หนีออกมาตั้งหลักถ่ายรูปเพราะข้างในนั้นมีแต่คลื่นมหาชนนักท่องเที่ยว!

จากนั้นผมก็เดินมาด้านหลัง Josaien จะมีบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง ผมก็เดินขึ้นไปแล้วมันจะมีทางเชื่อมเพื่อเข้าสู่ปราสาทตรงป้อม Hitsujisaru ครับ และเมื่อเดินขึ้นมาแล้วก็จะเริ่มเห็นภาพความเสียหายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อ่ะ เอาภาพไปดูกันดีกว่าครับ ถ้าผมเล่าไปก็วาดภาพตามกันยากเป็นแน่ อ่ะ ชมๆๆ

นี่ไงครับ ผลงานของแผ่นดินไหว!

จากภาพจะสังเกตได้ว่าตรงไหนที่ถล่ม ญี่ปุ่นเขาจะกั้นไว้ไม่ให้เข้าเลย แถมมีแนวรั้วกันอีกที ตรงนี้ผมขอบอกเลยว่าชื่นชมมากๆ เพราะทำได้เป็นระเบียบเรียบร้อยจริงๆ เพื่อนๆที่อ่านบล็อกนี้ก็กรุณาปฏิบัติตามกฎและไม่เดินออกนอกเส้นทางกันด้วยนะครับ โปรดอย่าสร้างวีรกรรมให้มีคนถ่ายภาพมาดราม่ากันตามหน้าจอเลย...ผมเบื่อหน่ายครับ โอเค เข้าเรื่องต่อ..! พอเดินจากป้อม Hitsujisaru มาจะเป็นเนินขึ้นไปที่ลานจอดรถทัวร์ (Ninomaru Parking Lot) ซึ่งก็แน่นอนว่า ทัวร์จีนมาเต็มเช่นเคย!!! จากนั้นเดินเลยมาอีกหน่อยจะมีร้านขายกาแฟและขนมกับห้องน้ำให้เข้าด้วย "ใครจะเข้าก็เข้านะครับ พ้นจุดนี้ไปไม่มีแล้ว" ผมเองก็เดินเข้ามาต่อจนเข้าไปสู่บริเวณ Ninomaru Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่และมีครอบครัวชาวญี่ปุ่นมาพักผ่อนอยู่มากมายครับ เห็นแล้วก็ชื่นใจนะครับ เพราะวันๆ เรามักจะเจอแต่ภาพลักษณ์คนญี่ปุ่นแบบเครียดๆ ทำงานหนักๆ ไม่ค่อยเห็นภาพครอบครัวญี่ปุ่นมาพักผ่อนกันสักเท่าไหร่ ต่อมาผมก็หันไปทางขวาของสวนแห่งนี้ก็จะเจอภาพปราสาทคุมาโมโต้ในโซนที่เรียกว่า Nishide Maru ซึ่งจุดนี้เราก็สามารถทัศนาซากกำแพงพังทลายได้ชัดเจนอีกมุมหนึ่งครับ อ่ะ จัดไปสิ รออะไร เชิญดู!

เมื่อเดินมาจนสุดสวนสาธารณะตรงหัวโค้ง ผมก็มองเห็นก้อนหินจากปราสาทที่ได้รับการวางไว้ที่พื้นเป็นจำนวนมาก เข้าใจว่าชาวญี่ปุ่นนั้น เวลาจะประกอบให้เป็นเหมือนเดิม จะต้องมานั่งคำนวณหินทีละก้อนว่าต้องวางตรงนั้นตรงนี้ให้ถูกประหนึ่งต่อ jigsaw เพื่อความถูกต้องและเป็น Original ให้มากที่สุดครับ แล้วที่ผมทราบมาก็คือ หินพวกนี้ก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆซะด้วย ถึงขนาดมีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า ถ้าจะมานั่งเรียงหินทุกก้อนที่กระจุยกระจายจากแผ่นดินไหวในปี 2016 นั้น อาจต้องใช้เวลาถึง 20 ปี (ยี่สิบปี) เลยทีเดียวล่ะ!!!! โอ้วววว แม่จ้าววววว ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนจริงๆครับ นี่มันงานช้างสุดๆเลยล่ะ!  

จากตรงกองหินนี้ ผมก็เลี้ยวขวาแล้วก็เดินตรงไป จะเห็นป้อม Inui Yagura อยู่ทางขวามือครับ ซึ่งป้อมนี้ก็ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวมากไม่แพ้กัน มากจนเกือบถล่มลงมาเลยทีเดียวล่ะครับ แต่โชคดีที่มีกองหินจำนวนหนึ่งรองรับไว้ได้ไม่งั้นมีสิทธิ์ถล่มลงมาแล้ว ดูภาพได้เลยครับ หวาดเสียวจริงๆ! ส่วนบรรยากาศรอบๆก็มีเศษหินกระจายหล่นพอสมควร นี่ยังดีที่ยังมีซากุระหลงเหลืออยู่ก็เลยยังทำให้บรรยากาศโดยรวมไม่ได้หดหู่มากมายเท่าไหร่ครับ

ต่อจากนั้นจะเจอสามแยก ซึ่งถ้าใครเดินตรงไปก็จะเป็นเส้นทางเดินรอบปราสาทในด้านทิศเหนือแล้วก็เดินวนไปบรรจบกับทางเข้าที่ถนนใหญ่โน่นเลย เส้นนี้ถ้าใครมีเวลาอยากเดินดูความเสียหายก็จัดไปได้ครับ ส่วนโอทารุเลือกเลี้ยวขวาทีสามแยกเพื่อเข้าไปชมศาลเจ้าคาโต้แทน เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่เราสามารถชมปราสาทคุมาโมโต้ได้ใกล้ที่สุดแล้วครับ

ไปสักการะดวงวิญญาณของท่าน Kato กันเถอะ!

ในส่วนของศาลเจ้าคาโต้นั้น ก็คือศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาท่าน Kato Kiyomasa ที่เราเจอรูปปั้นของท่านที่หน้าปราสาทนั่นแหละ! ภายในศาลเจ้าก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะพอสมควรครับ โดยจุดนี้เราสามารถเห็นป้อม Uto ได้แบบเต็มๆตา คือ ป้อม Uto นี่ต้องบอกก่อนว่า "เป็นของดั้งเดิมตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ได้สร้างเลียนแบบให้ดูเก่าแบบป้อมอื่นๆอีกหลายป้อม" และก็เป็นโชคดีของป้อม Uto ด้วยที่รอดมาได้อีกครั้ง เพราะแผ่นดินไหวปี 2016 ที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายในระดับไม่รุนแรงเท่าไหร่ (เมื่อเทียบกับป้อมอื่นๆและตัวหอรบของปราสาท) ทว่าความเสียหายที่เกิดกับหอรบหลัก (Main Castle Tower) ของปราสาทคุมาโมโต้กลับเสียหายหนักมาก กระเบื้องบนหลังคานี่กระจายอ่ะครับ ส่วนโครงสร้างภายในก็ไม่ทราบว่าจะถล่มลงมาหรือไม่ ดังนั้น หอรบหลักก็ต้องปิดซ่อมไปโดยปริยายเพื่อความปลอดภัยครับ เอาล่ะ มาชมภาพกันก่อนดีกว่า

ป้อมนี้ล่ะครับ เก่าแก่ ดั้งเดิม ทรหดและดวงดีสุดๆ

อ่ะ Main Tower!

และไหนๆ ผมก็อุตส่าห์พกเลนส์ซูม 200 ไปแล้ว ก็ใช้ให้คุ้มซะหน่อยครับ เอารูปแบบซูมเยอะๆไปดูกันเลย!

หายคาใจละว่าเสียหายแค่ไหน!

จากนั้นเมื่อถ่ายรูปกันจนหายคาใจแล้ว ผมก็สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้า Kato ต่ออีกสักนิดก่อนที่จะนั่งพักเหนื่อยและเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดินเหมือนขาเข้ามาในปราสาทแห่งนี้ครับ ระหว่างที่เดินกลับก็บอกตรงๆว่า ซากุระยังบานอยู่บ้างนะครับ แต่นักท่องเที่ยวที่เดินสวนเข้ามาศาลเจ้านั้น ผม "เจอคนไทยน้อยมากกกกกก" ส่วนใหญ่เป็นคนจีนครับ ฝรั่งยังน้อยเลย สงสัยจะไปชมซากุระแถวเกียวโตไม่ก็ขึ้นไปทางเซนไดกันหมดกระมังครับ คือ บางคนอาจเหงาๆบ้างอ่ะนะที่ไม่ได้ยินภาษาที่คุ้นเคยทั้งๆที่เมื่อก่อนเหรอ... โอ้ย! นี่มัน A must สำหรับทัวร์เกาะคิวชู 5 วัน 4 คืนเลยด้วยซ้ำ!

คิดไปคิดมา มองนั่นมองนี่ไปเพลินๆ แป็บเดียวผมก็เดินกลับออกมาที่ Josaien ครับ (ขากลับเร็วกว่าเพราะไม่ได้หยุดยกกล้องบ่อย) ซึ่งก็ยังคงมีทัวร์จีนเดินทางเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ก็หวังว่าปราสาทคุมาโมโต้จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วๆนะครับ เพราะคอปราสาทอย่างผมยินดีเข้าชมเมื่อเขาพร้อมเปิดแน่นอน! และจากจุดนี้ผมก็ก้าวเดินออกไปจากปราสาทและกลับไปขึ้นรถรางเพื่อเดินทางต่อไปยัง Downtown ของเมืองคุมาโมโต้เพื่อแวะคุมามงสแควร์กับเดินเล่นย่านถนนคนเดินต่อไป แต่หลังจากออกจากปราสาทแห่งนี้ ผมจะหยุดพักเรื่องราวไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ เพราะสองสถานที่ที่ผมจะไปต่อนั้นไม่มีร่องรอยความเสียหายที่ชัดเจนแบบปราสาทคุมาโมโต้แล้ว อีกอย่างเดี๋ยวจะยาวเกินบล็อกท่องเที่ยวแนวๆว่าเลื่อนมือถือลงมาก็ไม่จบซะที ปิดดีกว่า! ดังนั้น โอทารุจึงขอจบเรื่องราวของการนำเที่ยวปราสาทคุมาโมโต้หลังมหาแผ่นดินไหวถล่มหนึ่งปีไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆที่ตามอ่านตามชมภาพจนจบบล็อกนี้ครับ! ไว้พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้ากับเรื่องราวน่าสนใจหรือข่าวสารการท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับ Otaru Taichou คร้าบบบบบบ

แม่ลูกกลางภาพดูน่าอบอุ่นดีนะครับ ^^

Updated ล่าสุด

ตอนนี้ทางเมืองคุมาโมโต้กำลังเร่งซ่อมแซมหอรบหลักของปราสาทคุมาโมโต้ให้เสร็จก่อนเป็นอย่างแรก คาดว่าจะเร่งซ่อมแซมให้แล้วเสร็จก่อนที่ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพการจัดโอลิมปิคปี 2020 ครับ และในช่วงเดือนกรกฎาคม 2017 ที่ผ่านมาก็มีการสร้างนั่งร้านปิดโครงเหล็กเพื่อทำการซ่อมแซมหอรบหลักของปราสาทเรียบร้อยแล้ว (ภาพด้านล่าง) ส่วนการบูรณะส่วนอื่นๆของปราสาทที่ได้รับความเสียหายนั้น เบื้องต้นประเมินขั้นต่ำว่าจะแล้วเสร็จอย่างเร็วในปี 2036 (สองพันสามสิบหก) ครับ อ๊ากกกกกกกก นานมากกกกกก และหากเกิดแผ่นดินไหวระลอกใหม้อีก กำหนดการบูรณะให้เสร็จก็อาจต้องเลื่อนไปอีกโดยปริยาย และแม้ว่าเราจะมีฐานะเพียงแค่นักเดินทางตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ไม่มีอำนาจและไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ผมจึงขอส่งแรงใจและกำลังใจให้กับชาวเมืองคุมาโมโต้ในการเร่งฟื้นฟูให้ปราสาทแห่งนี้กลับมาสวยงามดังเดิมก็แล้วกันนะครับ ไม่ต้องห่วงเลยนะ ถ้า Main Tower ซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ ผมจะรีบกลับมาเที่ยวที่เมืองนี้อีกอย่างแน่นอน Kumamon สู้ๆนะครับบบบบบบบบ!!!!!!

 

----------------------------------------------------------

ภาพปกจาก http://www.japantimes.co.jp/wp-content/uploads/2016/05/n-castle-a-20160521-870x538.jpg

ภาพปราสาทซ่อมล่าสุด จาก http://kumanichi.com/news/local/main/20170701002.xhtml

ภาพที่เหลือมาจากกล้องของโอทารุทั้งหมด มีการลงลายน้ำเรียบร้อยแล้ว ท่านใดจะนำไปใช้ กรุณาขออนุญาตกระผมก่อนนะครับ!!!

----------------------------------------------------------

 ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร?

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากสอบถาม --> เชิญ add friend ทาง Facebook ครับ พิมพ์คำว่า Otaru Taichou ในช่องค้นหา เดี๋ยวว่างๆ ผมจะเข้าไป add เองครับ

 

ห้างดองกี้สาขาใหม่ใกล้สถานี JR Shinjuku เปิดแล้ว!
วิธีเอาตัวรอดกับรีโมทแอร์ภาษาญี่ปุ่น