EasyBlog

This is some blog description about this site
แนะนำ 5 วัดดังในเกียวโตสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสียามค่ำคืน

Tags: ทัวร์เกียวโต ใบไม้เปลี่ยนสี 2562 / 2019​

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ ในสัปดาห์นี้โอทารุจะยังขอเขียนข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีอยู่นะครับ แต่ครั้งนี้ขออนุญาตเจาะไปที่เมืองเกียวโต ภูมิภาคคันไซ เพียงที่เดียวเพื่อให้ท่านผู้อ่านที่กำลังหมายมั่นปั้นมือจะไปชมความงดงามของธรรมชาติได้ดื่มด่ำอย่างเต็มที่และสามารถวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวล่วงหน้าครับ

เมืองเกียวโตในปัจจุบันนี้ นับเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมในฤดูใบไม้ร่วงเป็นอย่างมาก ทว่า...ในเขตเมืองเกียวโตนั้น มีจำนวนวัดทั้งหมดถึง 1,600 วัด
ดังนั้น จึงเป็นการยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเลือกให้ถูกใจ โอทารุจึงเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อแนะนำ "วัดเด็ดๆ" ที่ได้รับความนิยมตลอดกาลครับ

วัดที่ผมจะกล่าวถึงนั้น จริงๆแล้วก็ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวครับ แต่วัดทั้งห้าที่ผมจะมาแนะนำนี้ล้วนมี "จุดขาย" ที่หลายๆวัดไม่มีนั่นก็คือ การเปิด Light up หรือการฉายไฟไปที่ต้นไม้ในเวลากลางคืนด้วยครับ!!! 

ที่ผมบอกแบบนี้เพราะว่าการเปิด Light up เนี่ย แต่ละวัดไม่ได้เปิดตลอดทุกเดือนนะครับ ปกติปีนึงจะเปิดแค่สองครั้ง ก็คือ ช่วงซากุระบานกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี่แหละครับ ดังนั้นผมจึงคิดว่า โอกาสกำลังจะมาถึงทั้งที ทำไมเราไม่วางแผนแต่เนิ่นๆตอนนี้เลยล่ะ ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอนำรายชื่อวัดทั้งห้าที่จะมาเขียนในบล็อกนี้ให้รู้จักชื่อกันก่อนก็แล้วกันครับ!


1.Kiyomizu-Dera (วัดน้ำใส)


4.Kodaiji (วัดโคไดจิ)

2.Eikando (วัดเอคังโด)

5.Chionin (วัดชิองอิน)

3.Nanzenji (วัดนันเซ็นจิ)

​ว่าแล้วผมก็ขอเริ่มที่วัดแรกซึ่งถือเป็นหนึ่งในวัดที่โด่งดังที่สุดของเกียวโตและประเทศญี่ปุ่นครับ นั่นก็คือ วัดคิโยมิสึหรือวัดน้ำใสที่ชาวไทยรู้จักกันดีครับ

1.Kiyomizu-Dera

​Kiyomizu-Dera : วัดนี้ผมขอไม่เล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมานะครับ เพราะปัจจุบันนี้หาอ่านได้ง่ายมากๆ ยิ่งภาพถ่ายนี่เลือกกันไม่หวาดไม่ไหวเลย เอาเป็นว่าวัดนี้มีไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดก็คือระเบียงไม้ที่ทำจากไม้แท้ๆและมีอายุหลายร้อยปี กับอีกหนึ่งจุดก็คือ น้ำสามสายที่ผู้เข้ามาในวัดสามารถเลือกได้ว่าจะดื่มน้ำเพื่อขอพรด้านไหน (มีด้านความรัก การเรียนและสุขภาพ) ทั้งนี้ น้ำดังกล่าว เลือกดื่มได้แค่สายเดียวนะครับ ใครที่โลภมากดื่มทั้งสามสายนั้น ว่ากันว่าจะต้องถูกเทพเจ้าลงโทษ และอีกเกร็ดความรู้คือ คำว่า Kiyomizu นั้นแปลตรงตัวว่า "น้ำบริสุทธิ์" ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้นั่นเองครับ 

สำหรับกิจกรรมไม่ควรพลาดที่นี่ในฤดูใบไม้ร่วงก็คือ ที่นี่จะเปิดไฟ Light Up ในตอนกลางคืนตั้งแต่เวลา 18:30 - 21:00 น. ระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2018 ครับ (ค่าเข้าชม 400 เยน เก็บแยกต่างหากจากค่าเข้าวัดในเวลาปกติ) จุดที่ต้องถ่ายภาพก็คือ การเปิดไฟตรงโซนระเบียงไม้นี่แหละครับที่ว่ากันว่าคนรักใบไม้เปลี่ยนสีต้องไม่พลาด ชมรูปสำหรับปีที่ผ่านๆมาเป็นไอเดียกันครับ

*ขณะนี้ระเบียงไม้ชื่อดังของวัดมีการบูรณะอยู่ การถ่ายภาพอาจจะแปลกตาสักหน่อย แต่การเปิด Light Up ยังมีตามปกติครับ ส่วนระเบียงไม้นั้นคาดว่าจะเร่งบูรณะให้แล้วเสร็จภายในปี 2020 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพการจัดโอลิมปิคครับ

​การเดินทาง : มีหลายวิธี ดังนี้

1.สะดวกที่สุดคือตั้งต้นที่สถานีรถไฟเกียวโต ให้ขึ้นรถเมล์สาย 100 หรือ 206 ลงที่ป้าย Gojo-Zaka หรือ Kiyomizu-Michi แล้วเดินขึ้นเนินไปอีกประมาณ 10-15 นาที 

2.นั่งรถไฟเอกชน Keihan ลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo แล้วเดินเท้าขึ้นเนินอีกราวๆ 20 นาทีก็ได้เช่นกันครับ

3.ถ้ามากันหลายคน (ผมก็ใช้วิธีนี้ครับ) ขึ้น Taxi จากสถานีรถไฟเกียวโตไปส่งถึงเนินที่ไว้สำหรับจอดรถแท็กซี่หน้าวัดเลย แล้วเราก็เดินขึ้นเนินไปอีกราวๆ 10 นาที ทั้งนี้ ค่ารถจะผันแปรไปตามสภาพจราจรราคาประมาณ 1,000-1,500 เยนโดยเฉลี่ยครับ (ยิ่งไปเช้า รถยิ่งไม่ติดครับ) 

2.Eikando

​เป็นวัดโบราณอีกแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมใบไม้แดงอันสวยงาม สมัยก่อนวัดนี้มีชื่อชื่อว่า Zenrinji โดยจุดกำเนิดของวัดนี้มาจากการที่ขุนนางในสมัยเฮอันได้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาถึงขนาดยกบ้านพักส่วนตัวให้กับพระสงฆ์ในเกียวโตและต่อมาก็ได้ขยับขยายจากบ้านพักมาเป็นวัดในที่สุด ต่อมาในศตวรรษที่ 11 เจ้าอาวาสของวัดที่ชื่อ "เอคัง" ได้รับพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่สามารถหมุนเศียรได้ นอกจากนี้ยังมีตำนาน (ที่ผมว่าแอบขนลุก) ว่ามีวันหนึ่งในขณะที่เจ้าอาวาสองค์นี้กำลังปฏิบัติกิจของสงฆ์ภายในวัด ท่านก็เหลือบไปเห็นว่าพระพุทธรูปที่หันพักตร์ไปด้านอื่นนั้น หันเศียรมาหาท่านแล้วก็สนทนากับท่านด้วย นี่จึงทำให้ชื่อเสียงของท่านเอคังโด่งดังมากและผู้คนจึงเรียกวัดนี้ว่าเอคังโดมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา!!

ภายในบริเวณวัดแห่งนี้ มีความร่มรื่นและเต็มไปด้วยวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหลายหลัง รวมทั้งยังมีเจดีย์ Tahoto ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นเพราะเจดีย์ดังกล่าวนั้น ชั้นหนึ่งจะมีฐานออกแบบเป็นทรงสี่เหลี่ยมส่วนชั้นสองจะเป็นการออกแบบด้วยทรงกลม ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเดินขึ้นเนินเพื่อขึ้นไปชมเจเดีย์ได้ และแน่นอนว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ รอบๆเจดีย์ก็จะเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสีส้มสีแดงกันอย่างสวยงามตรึงตาครับ ส่วนท่านใดที่เฉยๆกับวิวเจดีย์นั้น ภายในวัดแห่งนี้ก็มีการจัดสวนหินแบบญี่ปุ่นพร้อมบ่อน้ำไว้ให้ชมธรรมชาติก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวครับ 

สำหรับท่านใดที่ต้องการชม Light up ที่นี่ก็มีการจัดกิจกรรมเช่นกัน โดยในปี 2018 มีกำหนดการจัดงานตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2018 ตั้งแต่เวลา 17:30-21:00 น. (เก็บค่าเข้าเพิ่มอีก 600 เยนจากค่าเข้าปกติ)

​การเดินทาง : มีสองวิธีที่ง่ายสำหรับนักท่องเที่ยว

1.นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai ลงที่สถานี Keage แล้วเดินอีก 20 นาที (ถ้ามาจากสถานีรถเกียวโต ต้องเปลี่ยนรถที่สถานี Karasuma-Oike ก่อน)

2.นั่งรถเมล์สาย 5 จากหน้าสถานีรถไฟเกียวโตลงที่ป้าย Nanzenji-Eikando-michi ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

​3.Nanzenji

​วัดนันเซ็นจิถือเป็นอีกหนึ่งวัดดังของเกียวโตที่มีความสำคัญในแง่ของศาสนาพุทธนิกายเซน วัดแห่งนี้สืบประวัติได้ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 เมื่อพระจักรพรรดิ Kameyama สร้างตำหนักที่ประทับไว้ใช้ชีวิตหลังสละราชบัลลังก์ ทว่าต่อมาพระองค์ได้เปลี่ยนพระทัยแล้วเปลี่ยนตำหนักดังกล่าวให้กลายเป็นวัดแทน และนั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของวัดแห่งนี้ โดยวัดได้ผ่านช่วงเวลาของไฟสงครามมาหลายร้อยปีก่อนที่วัดจะได้พบกับความสงบอย่างยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้

วัดนี้มีอาณาเขตที่กว้างขวางมากโดยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาทางด้านหน้าจะเจอกับประตูไม้ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Sanmon ซึ่งเป็นประตูโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1628 (คิดง่ายๆว่าตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงโน่นล่ะครับ เก่าไหมล่ะ) ภายในวัดก็จะมีวิหารธรรมที่สร้างขึ้นสำหรับเผยแพร่คำสอนในพุทธศาสนารวมทั้งยังมีสวนหินแบบญี่ปุ่นในพื้นที่ของวิหารหลักซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า Hojo  อยู่ด้วย (สวนแห่งนี้ถ้ามาในฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้พบเห็นใบไม้เปลี่ยนสีด้วยล่ะครับ) ถัดจากสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับศาสนาแล้ว วัดนี้ยังมี "ของแปลก" อยู่อย่างหนึ่งที่วัดปกติจะไม่มีเลย นั่นก็คือ รางส่งน้ำ (Aquaduct) ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน โดยรางส่งน้ำเหล่านี้ ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อผันน้ำจากทะเลสายบิวะเข้าสู่ระบบคลองของเมืองเกียวโตโดยรางส่งน้ำเหล่านี้มีบางส่วนที่สร้างบนที่ดินของวัดนันเซ็นจิด้วย วัดแห่งนี้จึงมีมุมถ่ายรูปที่แปลกกว่าวัดอื่นๆในเกียวโตครับ

ในส่วนของการเปิดไฟ Light Up เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีนั้น ปีนี้ทางวัดมีกำหนดเปิดไฟในวันที่ 15 - 30 พฤศจิกายน 2018 ตั้งแต่เวลา 17:30-21:00 น. โดยเก็บค่าเข้าชมต่างหาก 600 เยน ทั้งนี้ ขอบอกไว้ก่อนว่าบริเวณที่จะเปิดไฟรอบกลางคืนนั้นจะอนุญาตให้เข้าชมได้ที่ในโซนที่เรียกว่า Tenjuan ซึ่งเป็นวัดเล็กๆส่วนหนึ่งที่ขึ้นตรงกับวัดนันเซ็นจิและมีที่ดินติดกันครับ ส่วนตัววัดนันเซ็นจิเอง ไม่ได้เปิดไฟหรือมีกิจกรรมพิเศษในตอนค่ำครับ 

​การเดินทาง : แบบเดียวกับวัด Eikando เลยครับ เพราะสองวัดนี้อยู่ใกล้ๆกัน เดินได้สบาย แต่ผมก็ขอนำข้อมูลการเดินทางมาให้ทุกท่านทราบ ดังนี้

1.นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai ลงที่สถานี Keage แล้วเดินอีก 20 นาที (ถ้ามาจากสถานีรถเกียวโต ต้องเปลี่ยนรถที่สถานี Karasuma-Oike ก่อน)

2.นั่งรถเมล์สาย 5 จากหน้าสถานีรถไฟเกียวโตลงที่ป้าย Nanzenji-Eikando-michi ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

4.Kodaiji

​วัดโคไดจิเป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในปี 1606 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการรำลึกถึงขุนพลใหญ่ Toyotomi Hideyoshi ที่เสียชีวิตลงในช่วงเวลานั้น โดยภรรยาของท่าน นามว่า เนเน่ เป็นผู้ดำริให้สร้างขึ้นนั่นเองครับ 

ภายในวัดก็จะมีการจัดสวนแบบญี่ปุ่นและมีวิหารหลักที่มีทางเดินเชื่อมด้วยหลังคากระเบื้องเข้าสู่ด้านใน นอกจากนี้ภายในวัดยังมีวิหารที่สร้างไว้สำหรับรำลึกถึงดวงวิญญาณของขุนพล Hideyoshi พร้อมป้ายแสดงชื่อตัวท่านและภรรยาอยู่ด้านใน ส่วนบริเวณเนินดินภายในวัดก็ยังจัดเป็นห้องชงชาเล็กๆที่ออกแบบโดยปรมาจารย์ในการชงชานามว่า Sen no Rikyu สุดท้ายในวัดนี้ก็มี "ป่าไผ่" ขนาดย่อมไว้ให้เดินชมด้วยล่ะ

การเข้าชม Light Up ของวัดแห่งนี้ จะเริ่มเปิดให้ชมตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม - 9 ธันวาคม 2018 โดยวัดระบุว่า เปิดประตูให้เข้าชมรอบกลางคืนตั้งแต่ "พระอาทิตย์ตกดิน" ไปจนถึง 4 ทุ่ม และคิดค่าเข้าในส่วนนี้ 600 เยนครับ

​การเดินทาง : มีสองวิธีที่ง่ายที่สุด คือ

1.จากสถานีรถไฟเกียวโต ให้ขึ้นรถเมล์สาย 100 หรือ 206 (นั่งราวๆ 20 นาที) ลงที่ป้าย Higashiyama Yasui แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงวัดครับ

2.วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากวัดน้ำใส หากออกจากวัดน้ำใสแล้วให้เดินลงเนินที่ชื่อว่า Ninenzaka แล้วตรงมาเรื่อยๆก็จะเจอวัดเช่นกันครับ

5.Chionin

​วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่มีอาณาเขตกว้างขวางและมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายโจโดะ ซึ่งมีคนนับถือในญี่ปุ่นถึงหลักล้านคน ด้านหน้าของวัดจะมีประตูไม้โบราณอายุมากกว่า 400 ปี ที่เรียกว่า Sanmon ตั้งตระหง่านอยู่ ปัจจุบันประตูไม้แห่งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นประตูไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นครับ จากนั้นจะเจอบันไดหินที่นำไปสู่วิหารหลักของวัด อย่างไรก็ตามวิหาร Miedo ยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซมนะครับ โครงสร้างต่างๆที่ทำจากไม้จะถูกวัสดุยุคใหม่สร้างคลุมไว้อีกชั้นเพื่อง่ายต่อการบูรณะและปกป้องจากลมฝนหรือหิมะครับ สำหรับวิหารอีกแห่งก็คือ วิหาร Amidado ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระอมิตาภพุทธะ (เข้าใจง่ายๆคือ พระพุทธเจ้าที่ประทับในดินแดนสุขาวดีตามความเชื่อของนิกายนี้) นอกจากวิหารต่างๆแล้ว ภายในวัดยังมีสวนแบบญี่ปุ่นอยู่ภายในบริเวณวัดหรือใครที่มีแรงปีนเนินเขาด้านหลังวัดก็สามารถขึ้นไปชมวิวของวัดจากมุมสูงได้ครับ

สำหรับการชม Light Up ของวัดแห่งนี้ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2018 ตั้งแต่เวลา 17:30-21:30 น. โดยมีค่าเข้าชมที่ 800 เยนต่อคนครับ

​การเดินทาง : มีสองวิธีที่ง่ายๆมาแนะนำเช่นเคยครับ นั่นคือ 

1.นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai ลงที่สถานี Higashiyama แล้วเดินอีก 10 นาที (ถ้ามาจากสถานีรถเกียวโต ต้องเปลี่ยนรถที่สถานี Karasuma-Oike ก่อน)

2.นั่งรถเมล์สาย 206 จากหน้าสถานีรถไฟเกียวโตลงที่ป้าย Chionin-mae ใช้เวลาประมาณ 20 นาที แล้วเดินจากป้ายรถเมล์อีก 5 นาทีก็เจอวัดแล้ว

​และทั้งห้าวัดที่ผมกล่าวมาก็คือวัดเด็ดๆที่ผมมั่นใจว่าจะต้องทำให้หลายๆท่านที่ไปเที่ยวเมืองเกียวโตในช่วงเวลาตามที่บอกนั้น จะต้องประทับใจในความสวยงามของธรรมชาติอย่างแน่นอน และก่อนจากกันในสัปดาห์นี้ ผมขอแนะนำทัวร์ส่วนตัวเที่ยวเกียวโตให้กับทุกท่านได้รู้จักกันครับ บริษัททัวร์แห่งนี้เปิดมานานกว่า 13 ปีและเจ้าของบริษัทก็อาศัยอยู่ในเมืองเกียวโตด้วยล่ะครับ งานนี้เจ้าถิ่นแนะนำเอง ถือว่าคุ้มค่าแน่นอนคร้าบบบบ

​รวบรวมข้อมูลจาก japan-guide

ภาพปกจาก Genkimobile

ภาพประกอบจาก jpinfo, mainichi, zekkeijapan, travelcaffeine, visitbeautifuljapan, indiamonuments, buffalotrip, fastjapan, sharingkyoto

บริษัท JR เผยโฉมชินคันเซนรุ่นใหม่ล่าสุด เตรียมวิ่ง...
ด่วน! ไทยแอร์เอเชียแจ้งยกเลิกเที่ยวบินในเส้นทางโตเ...