EasyBlog

This is some blog description about this site
พาชมซากุระที่ Gero Onsen เมืองจิ๋วแต่แจ๋วใกล้นาโงย่า/ทาคายาม่า

สวัสดีครับเพื่อนๆผู้อ่านทุกคน หลังจากที่ผมแปลข่าวมาให้อ่านหลายสัปดาห์แล้ว รอบนี้ขอเปลี่ยนเนื้อหาเป็นการพาไปดูซากุระและพักผ่อนแบบสบายๆที่ Gero Onsen กันครับ รับรองว่า น่าสนใจและตามรอยได้ง่าย เหมาะกับทุกคนแน่นอนครับ ว่าแล้วก็ขอเชิญคลิกชมเนื้อหากันเลยครับ!

โอทารุได้มีโอกาสไปเดินเล่นที่เมือง Gero onsen แห่งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเมื่อปี 2016 ครับ ช่วงนั้นซากุระกำลังบานสวยพอดีแม้จะมีฝนตกลงมาก่อกวนให้ซากุระร่วงหล่นบ้างก็ตามที แต่โดยรวมผมชอบที่นี่มากๆครับ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่มักจะมุ่งหน้าไปทางทาคายาม่าโดยไม่แวะพักที่นี่เท่าไหร่ (แม้จะเป็นทางเดียวกันก็ตาม) ดังนั้น ที่นี่จึงมีบรรยากาศที่ชิวๆกว่าและเดินสบายกว่าทาคายาม่าพอสมควรครับ!!! แต่ก่อนอื่น ผมขอยกประวัติศาสตร์ของเมืองออนเซนแห่งนี้ให้เพื่อนๆทราบแบบพอสังเขปก็แล้วกันครับ เที่ยวกับโอทารุน่ะมันต้องครบเครื่องนะ

ประวัติย่อ

เกโระออนเซนนั้นเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก แต่ที่พอสืบค้นแบบเป็นเรื่องราวนั้นก็อยู่ในช่วงยุคเอโดะ (ราวๆ 400 ปีก่อน) และเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดฮิดะในสมัยที่การแบ่งจังหวัดยังไม่เหมือนกับปัจจุบันครับ ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นเปิดประเทศก็ได้รับเอาวัฒนธรรมแบบตะวันตกในด้านต่างๆมาปรับใช้รวมถึงการปกครองด้วย แน่นอนว่าจังหวัดฮิดะก็ได้ถูกแบ่งออกมาเป็นจังหวัดกิฟุและตัวเมืองเกโระเองก็ได้ถูกดึงมาขึ้นทะเบียนใหม่ให้กลายเป็นหมู่บ้านเกโระเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1889 จากนั้นหมู่บ้านแห่งนี้ก็ได้ยกระดับฐานะขึ้นเป็นเมืองในวันที่ 1 มกราคม 1925 และมีการผนวกพื้นที่หมู่บ้านใกล้ๆให้กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อปี 2004 และก็มีสถานะเป็นเมืองหนึ่งในจังหวัดกิฟุมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับอุตสาหกรรมที่สำคัญของเกโระออนเซน ก็คือ การท่องเที่ยว เพราะบริเวณนี้มีบ่อน้ำร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งบ่อน้ำร้อนหลายแห่งนั้นก็ได้รับการสร้างให้เป็นบ่อแช่เท้าแล้วก็สามารถแช่ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมงก็มี ยิ่งไปกว่านั้นโรงแรมหลายแห่งที่นี่ก็เปิดรับนักท่องเที่ยวขาจรที่ต้องการแวะมาเที่ยวก็สามารถจ่ายเงินนิดหน่อยแล้วก็แช่น้ำร้อนได้เช่นเดียวกับแขกที่มาพัก นอกจากนี้บางโรงแรมยังมีชุดยูกาตะให้นักท่องเที่ยวได้ใส่เดินเล่นในเมืองเพื่อสร้างบรรยากาศย้อนอดีตอีกด้วย ดังนั้น เมืองนี้จึงนับเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเรานี่ล่ะครับ 

เริ่มต้นการเดินทาง

ใครที่จะไปเที่ยว Gero Onsen ส่วนใหญ่จะตั้งต้นที่เมืองนาโงย่า เพราะมีรถไฟด่วนพิเศษจำกัดความเร็ว (Limited Express) ชื่อ Hida Wide View ให้บริการครับ ซึ่งโอทารุก็ตั้งต้นจากสถานี JR Nagoya นี่แหละครับ โดยเราจะใช้เวลาในการนั่งรถไฟไป Gero Onsen ประมาณ "1 ชั่วโมงครึ่ง" ครับ (ใครไปทาคายาม่าก็นั่งต่อไปอีกราวๆ 40 นาทีก็ถึงครับ) สำหรับผมเองนั้นก็รอขึ้นรถไฟขบวน Hida Wide View 3 รถออกเวลา 08:43 น. แต่ก่อนขึ้นรถไฟ ผมก็มายืนต่อคิวซื้อเบนโตะไปทานบนรถไฟครับ เนื่องจากใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะไปถึงที่เกโระก็สิบโมงแล้ว ลงรถไฟจะได้มีแรงเที่ยวกันต่อเลย ป่ะ ไปชมภาพบรรยากาศกันครับ 

รอบๆวิวสองข้างทางรถไฟนั้นจะเป็นภูเขาสลับกับแม่น้ำที่สวยงามครับ แต่ใครง่วงก็หลับได้ครับ ส่วนตัวผมเองก็นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ สบายๆ ไม่นานรถไฟก็มาจอดที่สถานี Gero Onsen ตามที่วางแผนไว้ครับ (ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟมีร้านขายของฝาก ใครจะซื้อก่อนกลับก็แวะมาซื้อแถวนี้ได้ครับ เพราะส่วนตัวผมเห็นว่าในสถานีรถไฟของฝากไม่เยอะเท่าไหร่)

เมือง Gero Onsen

ขอบอกสักนิดว่าสถานีรถไฟของเมืองนั้นจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ downtown ดังนั้นถ้าใครจองโรงแรมที่อยู่ในย่าน downtown ก็อาจจะลองติดต่อโรงแรมว่ามีรถ shuttle bus มารับหรือไม่เพราะถ้าเดินลากกระเป๋าปุเลงๆไปก็ราวๆ 20-30 นาทีเลยล่ะครับ (ต้องข้ามแม่น้ำด้วยอ่ะนะ) แต่สำหรับโอทารุนั้น โรงแรมที่จองไว้อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่ แม้ว่าโรงแรมจะมีรถรับส่งให้บริการ แต่ผมไม่รอละ ลากไปโรงแรมเองเลยละกัน ขึ้เกียจรอ สำหรับที่พักของผมนั้น ชื่อว่า Suimeikan เป็นเรียวกังระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ติดแม่น้ำฮิดะและอยู่ห่างจากสถานีรถไฟแค่ 5 นาทีครับ (แต่บล็อกกนี้ไม่รีวิวที่พักนะครับ ขอทำแยกเพื่อให้กระชับเนื้อหา) จากนั้นเมื่อทำการฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ผมกับคุณพ่อคุณแม่ก็ตัวเบาสบายและได้ฤกษ์เดินสำรวจเมืองแห่งนี้กันครับ!!!

เริ่มต้นเลย ผมพาเดินไปที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำฮิดะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมครับ (อยู่ข้างๆสะพานข้ามแม่น้ำ) ที่สวนสาธารณะแห่งนี้ซากุระกำลังบานได้ใจเป็นแนวยาวทีเดียว แม้ไม่ได้ยาวมากแต่ก็ทำให้ผมหยุดถ่ายรูปอยู่พักนึงเลยล่ะครับ บรรยากาศโดยรอบก็ร่มรื่นและแทบไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเลยครับ มีคุณป้าญี่ปุ่นนั่งเซลฟี่กับซากุระ มีครอบครัวพ่อแม่ญี่ปุ่นพาลูกมาเดินเล่น มีเด็กสาวญี่ปุ่นกระโดดไปตามโขดหินเพื่อลองจับดูว่าน้ำร้อนหรือไม่รวมถึงเด็กผู้ชายจอมซนที่เหมือนจะหาอะไรในแม่น้ำ รวมถึงมีคุณลุงชาวญี่ปุ่นเตรียมแช่ออนเซนที่บ่อ outdoor ตรงสวนสาธารณะแห่งนี้ด้วยยยยยย!!! โอ้ย ผมน่ะชอบมาก (ไม่ได้ชอบคุณลุงแก้ผ้านะครับ) คือ ชอบบรรยากาศญี่ปุ่นแบบนี้ที่คนไม่พลุกพล่านจอแจมีแต่เสียงรถทัวร์ รถติด เสียงโทรโข่งเชิญชวนโน่นนี่หรือปราศจากเสียงภาษาพูดที่คุ้นเคยมันทำให้จิตใจได้ผ่อนคลายจริงๆครับ ^^ เชิญดูภาพประกอบกันได้เลยจ้า

และเมื่อชมบรรยากาศบ้านๆแบบสมใจแล้ว ผมก็ย้อนกลับมาขึ้นสะพานแล้วข้ามเดินข้ามแม่น้ำฮิดะไปอีกฝั่ง ก็จะพบกับ downtown ของเมืองซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาที่สมาชิกทุกคนหิวกันแล้วและมี Lawson อยู่ตรงหน้า ทุกคนก็แยกย้ายเดินเข้าไปในร้านและซื้ออาหารที่ถูกใจมารับประทานกันครับ (ผมซื้อเฟรนช์ฟรายกับหมึกย่างญี่ปุ่น) พอเติมพลังกันแล้วก็เดินสำรวจย่าน downtown ต่อครับโดยกลางเมืองจะมีธารน้ำที่ไหลมาผ่ากลางลงสู่แม้น้ำฮิดะต่อไป อยากจะบอกว่า น้ำใสและปราศจากขยะสุดๆ บ้านเราควรเอาเยี่ยงอย่างบ้างนะครับ สุดยอดจริงๆ!!! ส่วนรอบๆถนนสองข้างทางก็จะเป็นร้านอาหารและร้านขายของฝากครับ และถ้าเดินผ่านร้านเหล่านี้ ขอให้สังเกตดีๆ จะพบว่าบางร้านมีบ่อน้ำร้อนให้แช่เท้าฟรีกันด้วยนะครับ ซื้อของเสร็จใครเมื่อยก็แช่เท้ากันได้เลย (แต่อย่าลืมพกผ้าผืนเล็กๆมาเช็ดเท้ากันด้วยล่ะ) เมื่อแวะดูของเสร็จแล้ว ผมกับครอบครัวก็เดินต่อไปที่ท้าย downtown ก็จะเป็นสวนสาธารณะอีกแห่ง ชื่อว่า Yunomachiujo ซึ่งก็มีซากุระบานอยู่จำนวนหนึ่งครับ (แต่ตอนหลังมาหาข้อมูล พบว่าที่สวนนี้ตอนใบไม้แดงจะสวยกว่า) 

สำหรับจุดหมายแห่งต่อไป ผมถือว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยครับ นั่นคือ Gero Folk Village (Gero Onsen Gassho-Mura) มีที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ แต่ไม่ต้องกลัวครับ แม้ว่าคุณพ่อของผมจะอายุเกิน 60 ปีแล้วก็ตามก็ยังเดินขึ้นได้แบบเรื่อยๆ ดังนั้น หนุ่มสาวทั้งหลายไม่ต้องกลัวว่าจะขึ้นไม่ไหวนะครับ ส่วนค่าเข้าแห่งนี้ ผู้ใหญ่ 800 เยน, เด็ก (อายุไม่เกิน 12 ปี) 400 เยน เปิดเวลา 08:30-17:00 น. ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ปีใหม่ก็เปิด ผมเช็คเว็บไซต์ให้แล้วครับ เย้!!!

ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ผมสรุปให้ฟังเลยว่าทำไมมันถึงเป็นไฮไลต์ ง่ายมากครับ ที่นี่คือ Mini-Shirakawago ไงล่ะครับ แล้วคำว่า Mini อย่าไปคิดว่า โอ้ย ของปลอมหรือเปล่า สร้างเลียนแบบรึเปล่า ผมขอบอกตรงนี้เลยครับว่า "บ้านโบราณเหล่านี้ ทาง Shirakawago ยกให้เมืองเกโระเพื่อเอามาทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้และเข้าถึงได้อย่างสะดวกครับ ดังนั้น มั่นใจได้เลยครับว่า ที่นี่ก็ของแท้" แถมที่นี่ใครมีคนในครอบครัวที่ต้องรถเข็นมาก็สามารถเที่ยวได้อย่างสะดวกเช่นกันครับ เขามีทางลาดให้รอบหมู่บ้านแถมปลอดภัยมากๆ เรียกว่ามาได้ทั้งครอบครัวแน่นอน (แต่ถ้าต้องการเข้าไปชมภายในบ้านก็ยังต้องใช้การเดินนะครับ)

ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ จะมีบ้านโบราณสไตล์ Gassho-Zukuri (ก็ทรงบ้านหน้าจั่วสามเหลี่ยมนั่นแหละ) รวมทั้งสิ้น 10 หลังครับ นอกจากนั้นก็มีศาลเจ้า มีบ่อปลา แถมมีบ่อแช่เท้าอีกต่างหาก! เรียกว่ากว้างขวางทีเดียว ผมเองก็พาคุณพ่อคุณแม่เดินขึ้นไปชมด้านในของบ้านโบราณเหล่านี้กันอย่างจุใจครับ ตัวหุ่นที่จัดแสดงในบ้านอาจจะดูหลอนๆหน่อยแต่ก็ได้ความรู้ดีมากและสิ่งของต่างๆหลายชิ้นก็ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีครับ แต่บอกสักนิดว่า บ้านบางหลังนั้นอาจจะมีขนาดเล็ก เขาก็จะเอาไว้เป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้แทนนะครับ แต่ที่แน่ๆ เก่าจริงครับ ส่วนใครชอบดูวิวนั้น ที่นี่ก็เป็นตำแหน่งที่ดีที่ทุกคนสามารถดูวิว downtown ของ Gero Onsen ได้สบายครับ ยิ่งมีซากุระบานขึ้นมาด้วยก็จะได้เห็นสีชมพูกันถ้วนหน้าครับ

เมื่อชมหมู่บ้านแห่งนี้กันอย่างจุใจแล้ว พวกเราก็เดินกลับลงมาทางเดิมครับ จริงๆมีบ่อแช่เท้าอยู่ที่หนึ่งตอนทางลงด้วย แต่เดี๋ยวก็จะเจออีกเรื่อยๆ บ่อนี้ก็เลยไม่ได้แช่เท้าครับ จากนั้นก็เดินกลับมาที่ downtown เพื่อไปชมวัด Onsenji ซึ่งว่ากันว่าเป็นตำนานต้นกำเนิดของเมืองนี้ด้วยล่ะครับ (ดูภาพด้านล่าง)

  

ย่าน downtown ของเมือง

ใครที่รักความสงบแบบโอทารุ ต้องชอบเมืองนี้อย่างแน่นอนครับ เพราะขนาดผมมาตอนซากุระบานสวย คนที่มาเที่ยวยังแทบไม่เจอเดินสวนกันเลยล่ะ ถ้ายิ่งชอบถ่ายรูปหรือหามุมสวยๆนะ ผมรับรองว่าคุณผู้อ่านอยู่ได้ทั้งวันและต้องหลงรักที่นี่อย่างแน่นอน ว่าแล้วก็กลับมาเดินทางกันต่อดีกว่าเนอะ

ตัววัด Onsenji อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่มากนัก (ราวๆ 500 เมตร) เดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเพลินๆ แป็บเดียวก็ถึงครับ แต่ทางขึ้นเป็นเนินเล็กๆนะขอบอกไว้ก่อนครับ  

สำหรับตำนานของเมืองเกโระ ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่วัดแห่งนี้นี่ล่ะครับ โดยมีเรื่องราวสั้นๆว่า เมื่อนานมาแล้วมีนกกระสาขาวตัวหนึ่งได้บินโฉบมาใกล้กับชาวบ้านแถวนั้น ด้วยความอยากรู้ทำให้ชาวบ้านคนนั้นวิ่งตามนกไป ปรากฎว่าบริเวณที่นกบินกลับไปนั้นชาวบ้านคนเดิมก็ได้ไปพบกับตาน้ำพุร้อนที่บริเวณนี้ แล้วเมื่อชาวบ้านเข้าไปดูรังนกที่อยู่ในต้นสนใกล้ๆก็พบว่ามีพระพุทธรูปเก่าแก่ติดอยู่ที่อุ้งเท้าของนกกระสาตัวนั้น ต่อมาจึงได้มีการขุดน้ำร้อนมาใช้ในการดำรงชีวิตและใช้ในการแช่น้ำ ต่อมาชาวบ้านจึงร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดเพื่อเป็นการแสดงความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และแสดงความซาบซึ้งใจที่มีต่อนกกระสาตัวนั้น 

จบตำนานกันไปแล้วก็เตรียมขึ้นบันได 173 ขั้นเพื่อขึ้นสู่วัดครับ สองข้างทางนั้นอาจจะเป็นวิวที่แปลกตาสำหรับชาวไทยเพราะมันคือ "สุสานวิว" แต่ไม่ใช่สุสานธรรมดานะครับ เพราะเป็นสุสานที่มีซากุระสีชมพูกำลังออกดอกอยู่ล่ะ ผมเองก็ไม่ได้กลัวอะไรอยู่แล้ว...ก็มันกลางวันแสกๆอ่ะนะ จะกลัวเพื่อ 555 ก็เดินขึ้นบันไดไปที่ด้านบนของวัดพร้อมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแห่งนี้ครับ ที่จุดนี้ หากมองออกไปก็จะเห็นทิวทัศน์ของเมืองเกโระออนเซนได้แบบมุมสูงครับ หากมีเวลาก็ขอแนะนำว่าให้ค่อยๆเดินขึ้นมานะครับ ไม่ยากและบันไดไม่ชันครับ

 

เสร็จจากการไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมก็เดินลงมาจากวัดและเดินไปที่หน้าโรงอาบน้ำสาธารณะ เพื่อขอเบรกพักเท้าด้วยการแช่น้ำร้อนที่บ่อวีนัสแห่งนี้! อย่างที่บอกครับ บ่อแช่เท้าจะมีกระจายอยู่ทั่วเมือง แถมบ่อพวกนี้ก็ไม่คิดเงินด้วยล่ะ (แต่โรงอาบน้ำสาธารณะเก็บเงินตามปกตินะครับ) ดังนั้น ถ้าเราเจอก็สามารถไปหย่อนเท้าหย่อนขาได้ตามสบาย แค่อย่าหย่อนตัวลงไปก็แล้วกัน โดนประณามและลงหนังสือพิมพ์แน่!!! 

หลังจากแช่น้ำร้อนเพื่อการผ่อนคลายเท้าแล้ว เราก็เดินกันต่อไปที่ศาลเจ้าคาเอหรุ หรือศาลเจ้ากบประจำเมืองเกโระครับ!!! เท่าที่สืบทราบ คำว่า Gero นั้น (บ้างก็เขียนเป็น Kero) เป็นคำเลียนเสียงกบร้องในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง ดังนั้นก็ชาวญี่ปุ่นก็เลยสร้างศาลเจ้าขึ้นมาเพื่อสักการะกบในเมืองนี้และก็ได้ต่อยอดสร้างมูลค่าทำเป็นสินค้าต่างๆเพื่อขายนักท่องเที่ยวอีกด้วยล่ะครับ ผมเองก็ซื้อครับ ยอมแพ้ marketing ของคนญี่ปุ่นจริงๆ อิอิ

และแล้ว เมื่อผมได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้ากบอ๊บอ๊บ ก็ไปเจอบ่อแช่เท้าอีกหนึ่งบ่อ แต่บ่อนี้ผมไม่ได้แช่นะครับ เพราะอยู่ใกล้กับบ่อวีนัสมาก และก็ยังไม่ได้ปวดเมื่อยอะไรเท่าไหร่ก็เลยเดินชมเมืองต่อดีกว่าครับ ซึ่งจากจุดนี้ ทางเดินจะเงียบกว่าแถววัดมากๆ และส่วนใหญ่จะเป็นตึกพักอาศัยมากกว่า ผมและครอบครัวก็เลยหาทางทะลุถนนเส้นนี้แล้วไปเดินเลียบถนนที่ติดกับแม่น้ำฮิดะแทนครับ ซึ่งถนนเส้นนี้ก็จะมีโรงแรมหรือเรียวกังติดแม่น้ำอยู่เช่นกัน จากนั้นก็เป็นการเดินแบบสบายๆเพื่อกลับไปแช่น้ำที่เรียวกังของผมครับ

สำหรับมื้อเย็นนั้น ผมเลือกที่จะทานร้านอาหารนอกเรียวกังครับ (เรทที่จ่ายมา รวมเฉพาะอาหารเช้า) โดยหวยออกที่ร้านขายข้าวหน้าปลาไหล Hitsumabushi ร้านหนึ่งชื่อ Unasho ครับ อยู่ชั้นสองของอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง คือตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าอร่อยหรือเปล่า แต่พอชิมไปเท่านั้นแหละ โอ้ยยยยย!!! ยังกะขึ้นสวรรค์ อร่อยมากกกกกกกกกกกก "ลืมร้านปลาไหลในโตเกียวที่คนชอบส่งต่อกันในโซเชียลทันทีเลย"!! ยิ่งกลับมาอ่านรีวิวร้านนี้จากเว็บไซต์ของต่างประเทศแล้วก็ยิ่งรู้สึกดีเพราะขนาดคนญี่ปุ่นเองยังชมเลยว่าอร่อยและบริการดี ปลิ้มจิตปลื้มใจมากๆที่การลองเสี่ยงวันนี้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจเป็นที่สุด (แม้ราคาอาจจจะแรงสำหรับหลายๆคนก็ตามครับ)  อ้อ! ร้านนี้มีเสิร์ฟเนื้อวัวฮิดะด้วย ถ้าใครไม่ทานปลาไหลก็สามารถสั่งได้ หรือถ้ากินเนื้อวัวไม่ได้ก็ยังมีชุดซูชิหรือกุ้งทอดให้เลือกอีก แต่...ถ้าคุณทานเมนูอะไรที่ผมบอกตามนี้ไม่ได้เลย..."เชิญลงบันไดไปชั้นหนึ่งแล้วเข้าร้านสะดวกซื้อ Deli Yamazaki เถอะครับ มันต้องมีซักอย่างแหละที่คุณควรจะทานได้"

มื้อเย็นแสนอร่อยนี้ผ่านไปอย่างเพลิดเพลินพุงและอิ่มหนำมากพร้อมอากาศที่เริ่มเย็นแม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิก็ตาม (ตอนค่ำๆ อุณหภูมิราวๆ 12 องศาเซลเซียสเชียวนะ) ว่าแล้วก็เดินกลับเรียวกังพร้อมนั่งพัก แล้วผมกับคุณพ่อก็ไปแช่น้ำร้อนที่บ่อของเรียวกังครับ ขอบอกว่าที่นี่มีทั้งบ่อ indoor และ outdoor นะ ผมติดใจบ่อ outdoor สุดๆเลยเพราะอากาศดีมากๆแถมสบายตัวจริงๆครับ และเมื่อได้เวลาพร้อมแล้ว สมาชิกครอบครัวโอทารุก็นั่งเล่นในห้องจนได้เวลาพักผ่อนแล้วทุกคนก็เข้านอนอย่างมีความสุขครับ ก่อนนอนคุณพ่อคุณแม่ของผมก็เอ่ยปากเลยว่าชอบที่นี่มากๆ ผมก็ดีใจครับที่พาท่านมาพักผ่อนได้สบายๆและไม่เร่งรีบ ยังไงผมจะตั้งใจสรรหาที่เที่ยวใหม่ๆให้คุณพ่อคุณแม่ติดใจในญี่ปุ่นอีกนะครับ! สำหรับบล็อกนี้ โอทารุขอจบการรีวิวพาเที่ยวแบบสบายๆเท่านี้ครับ แล้วพบกันใหม่ในสัปดาห์หน้ากับเรื่องราวดีๆที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเช่นเคยคร้าบบบบบ

สรุป

Gero Onsen เป็นเมืองเล็กๆที่น่ามาใช้เวลาพักผ่อนนอนค้างสักคืนเป็นอย่างยิ่ง ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถเก็บไฮไลต์ได้หมดแล้ว ส่วนใครมีเวลาน้อยแล้วไปชิราคาวาโกะไม่ทันแต่อยากเห็นบ้านทรงหน้าจั่วสามเหลี่ยมก็มาที่นี่ได้เลย ของแท้เหมือนกัน หน้าหนาวที่นี่ก็มีหิมะนะครับ สวยแน่นอน นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำร้อนให้แช่เท้าฟรีอีก คนก็ไม่พลุกพล่าน เรียกได้ว่า เหมาะกับนักเดินทางที่ต้องการความเงียบสงบ หรือเป็นคู่รักอยากสวีทหรือจะมาเป็นครอบครัวแบบผมก็เข้าท่าเช่นกัน ว่าแล้วก็ขอเชิญเพื่อนๆผู้อ่านทุกคนมาเที่ยวที่ออนเซนน่ารักแห่งนี้ แล้วพบกันที่ Gero Onsen นะครับ ^____^

--------------------------------------------      

เนื้อหาเพิ่มเติมของหมู่บ้าน Gero Folk Village จาก http://www.gero-gassho.jp/lg_en/

ภาพปกจาก http://www.yamagata-ya.co.jp/lg_en/

ภาพที่เหลือมีการลงลายน้ำทั้งหมดเป็นภาพจากกล้องของโอทารุ หากผู้ใดจะนำไปใช้ กรุณาขออนุญาตก่อนนะครับ!!!

--------------------------------------------

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร

เพื่อนๆสามารถร่วมพูดคุยหรือสอบถามเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับผมได้ด้วยการพิมพ์ชื่อ Otaru Taichou ในช่องค้นหาของ Facebook แล้วกดเพิ่มเพื่อนครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปกดตกลงเองครับ!     

นักท่องเที่ยวต่างชาติสร้างสถิติใหม่ในเมืองเกียวโต
รีวิวการทำ Passport แสนสะดวกที่ MRT คลองเตย