EasyBlog

This is some blog description about this site
รีวิว China Airline ไปกลับเส้นทาง Fukuoka พร้อมความเซอร์ไพรส์

สวัสดีปีใหม่ 2018 ครับ! โอทารุขออวยพรให้เพื่อนๆผู้อ่านทุกท่านพบแต่ความสุขความเจริญตลอดปีจอนะครับ และสำหรับบล็อกแรกต้อนรับปีใหม่นี้ ผมก็ขออนุญาตรีวิวสายการบิน China Airline ซึ่งปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งสายการบินที่มีเพื่อนๆใช้บริการบินสู่ญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากครับ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นไอเดียให้กับเพื่อนๆได้นะครับ เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าสายการบิน China Airline (รหัสย่อ CI) เป็นสายการบินของ "ไต้หวัน" นะครับ ไม่ใช่ "จีนแผ่นดินใหญ่" ดังนั้น เวลาต่อเครื่องจะต้องไปต่อที่สนามบินเถ่าหยวน กรุงไทเปครับ ไม่ใช่ปักกิ่งนะครับ เวลาบอกใครจะได้บอกให้ถูกไง และสายการบินนี้ต้องไปขึนเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิล่ะ อย่าเผลอไปดอนเมืองนะคร้าบบบ

ทริปนี้โอทารุเริ่มการเดินทางในวันที่ 6 เมษายน 2017 เพื่อไปชมความงามของซากุระครับ โดยมีตารางบินขาไปดังนี้ครับ

CI 834 กรุงเทพ BKK 11:15 น. - ไทเป TPE 15:55 น. (รอเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน 50 นาที)

CI 116 ไทเป TPE 16:45 น. - ฟุกุโอกะ FUK 20:00 น.  

หลายคนอาจจะบอกว่าทำไมไม่เลือกแบบบินดึกถึงเช้าและบินตรงเลยล่ะ ง่ายดี --> ผมตอบให้เลยครับว่า "คุณรู้ไหมว่าตั๋วแบบบินตรงช่วงเดือนเมษายนมีราคาแพงมากกกกก ผมเปิดดูตอนก่อนสิ้นปี 2016 ก็ช็อคแล้วเพราะบินตรงต้องมีเงินอย่างต่ำ 30,000 บาทต่อหัวนะครับ อีกอย่างถ้าเที่ยวบินแบบดึกถึงโน่นเช้าราคาก็จะเด้งขึ้นไปอีกหลายพัน ดังนั้น ผมยอมบินต่อเครื่องครับ ได้ราคาไม่ถึงสองหมื่น ยอมเสียเวลาหนึ่งวันครับ ส่วนทำไมเลือกเอาเวลานี้ก็ตั้งใจว่าลงเครื่องแล้วบึ่งเข้าโรงแรมไปเลย จะได้หลับยาว ตื่นมาไม่เป็นซอมบี้นั่นเอง"

เริ่มต้นเราต้องมาเช็คอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบินครับ ที่สุวรรณภูมิจะอยู่ที่แถว S (เอส) ซึ่งวันนั้นก็เป็นวันหยุดและคนก็เยอะพอสมควรครับ ผมเองก็เช็คอินออนไลน์มาล่วงหน้าแล้วก็เลยได้แถว internet check in ซึ่งจะสั้นกว่าแถวธรรมดาครับ และเมื่อเช็คอินแล้วเราจะได้ Boarding Pass สองใบ คือ ใบแรกเป็นเส้นทางกรุงเทพถึงไทเป ส่วนใบที่สองเป็นเส้นทางไทเปถึงฟุกุโอกะ ดังนั้น อย่าทำหายนะครับ ต้องเก็บไว้กับ Passport ตลอดจนกว่าจะลงเครื่องที่ญี่ปุ่นโน่นแหละ

สำหรับขั้นตอนการผ่านด่าน ตม. และการช็อปปิ้งที่ร้าน Duty Free ในเมืองไทย ผมขอผ่านไปเลยนะครับ เพราะข้อมูลในส่วนนี้มีคนเขียนเยอะมากแล้วอีกอย่างผมไม่ใช่สายช็อปปิ้งครับ ว่าแล้วก็เดินไปถ่ายรูปเครื่องบินแถว Gate ดีกว่า

เที่ยวบิน CI834 วันนี้ออกตรงเวลานะครับ เจ้าหน้าที่เรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องอย่างพร้อมเพรียงและใช้เวลาไม่นานก็เข้าไปอยู่บนเครื่องเรียบร้อยครับ แต่.....รอบนี้โอทารุต้องร้อง "ว้าวววววววววววววววววว" สุดขีด เพราะว่า "ผมได้รับการ Upgrade ให้นั่ง Business Class แบบฟรีๆ พร้อมคุณพ่อและคุณแม่ สรุปคือ ได้นั่งทั้งสามคนนั่นแหละ กรี๊ดดดด ส้มหล่นมาก" ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอก จนเจ้าหน้าที่พาเดินขึ้นไปส่งถึงที่นั่งนั่นแหละครับ ถึงได้เชื่อ แม่จ้าวววววว ที่นั่งกว้างขวางกว่าชั้นประหยัดสุดๆ อ่ะ ชมภาพครับ

ว่าแล้วเราก็มาสำรวจอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ในชั้นธุรกิจกันครับ ที่สังเกตได้ด้วยตาก็มี ปลั๊กชาร์จไฟ ที่วางแก้วน้ำ ช่องใส่ของขนาดใหญ่ (ใหญ่พอจนใส่เป้ได้) และยังมีช่องวางของตรงหน้าที่นั่งอีกซึ่งเราจะวางรองเท้าหรืออย่างอื่นก็ได้ นอกจากนี้ตรงที่วางแขนก็จะมีรีโมทไว้ปรับเก้าอี้ให้นอนเกือบราบได้ครับ เอนเหยียดขาได้สบายสุดๆ ยิ่งผมสูงแค่ 160 เซนติเมตรนะ โอ้ย เหลือๆครับ

ระยะเวลาในกาารบินจะใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงครี่งครับ ผมเองก็บอกเลยว่า ไม่ขอนอนดีกว่า ขอสัมผัสความสบายแบบฟรีๆให้มากที่สุดก็แล้วกัน 555 ว่าแล้วก็นอนเหยียดขาดูทีวีอย่างสบายใจครับ 

อย่างไรก็ตาม ขอบอกเพื่อนๆที่อาจจะได้รับการ upgrade แบบผมว่า ถึงเราจะได้ที่นั่งพิเศษ แต่อาหารก็จะได้รับแบบธรรมดานะครับ คือ อาหารก็ยังเป็นแบบชั้นประหยัดนั่นแหละ และเมนูในวันนี้ก็จะมีให้เลือกสองอย่างตามมาตรฐาน นั่นก็คือ ปลากับไก่ ดูภาพประกอบโลดดด

ทีนี้ถ้าเพื่อนๆสงสัยว่า แล้วชั้นประหยัดจะเป็นอย่างไร ผมก็ขอตอบว่า เครื่องบินที่ใช้ในการบินวันนี้เป็น Boeing 747-400 ผังที่นั่งชั้นประหยัดจะเป็นแบบ 3-4-3 ครับ ทุกที่นั่งมีจอทีวีส่วนตัวและที่ชาร์จไฟด้วยครับ

และแล้วเวลาสามชั่วโมงครึ่งก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วและนกยักษ์ 747 ก็ลงจอดที่สนามบินเถ่าหยวน ไต้หวันอย่างปลอดภัย พอลงจากเครื่องแล้วผมก็มองหาป้าย Transfer ซึ่งหาไม่ยากเลยครับ เพราะอยู่บนหัวเราเองนี่แหละ จากนั้นก็จะเป็นการตรวจของเหลวและกระเป๋า carry-on ตามปกติครับ พอขึ้นมาด้านบนก็เข้าห้องน้ำแล้วมองหา gate ที่จะไปฟุกุโอกะครับ ไม่ยากๆ ส่วนเพื่อนๆที่อยากช็อปปิ้ง แนะนำว่า ขากลับค่อยช็อปดีกว่าครับเพราะรอบนี้มีเวลาต่อเครื่องรอบนี้แค่ 50 นาทีเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เซียนแบบรู้ว่าต้องซื้ออะไรร้านอยู่ตรงไหน ผมไม่แนะนำครับ เดี๋ยวจะตกเครื่องเอาได้ ไม่คุ้มหรอกครับ

โชคดีที่รอบนี้ไม่มีการดีเลย์อีกเช่นเคย (หลายคนไซโคมาว่าสายการบินนี้ชอบดีเลย์) และผมกับครอบครัวก็ได้ขึ้นเครื่องบินตามกำหนดเวลาครับ ทว่าไฟลท์นี้จะใช้เครื่องบินแบบ Airbus A330-300 นะครับ ผังที่นั่งจะเป็นแบบ 2-4-2 มีจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่งเช่นเคยพร้อมที่ชาร์จไฟครับ ส่วนโชคของผมก็หมดแล้ว ได้ upgrade แค่ขาเดียว 555 ซึ่งแค่นั้นผมก็ดีใจแล้วล่ะเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่แรกอ่ะเนอะ 

จอทีวีจะเล็กๆหน่อย

สำหรับเที่ยวบิน CI116 จะใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆครับ ที่นั่งก็ไม่ได้แคบมาก แต่ใครขายาวหน่อยอาจจะรู้สึกอึดอัด ส่วนตัวผมก็ฆ่าเวลาด้วยการดูหนังได้เรื่องนึงจบพอดี ที่สำคัญอาหารบนเครื่องจะเป็นมื้อเย็น เสิร์ฟกันแบบอิ่มมากๆ โดยมีให้เลือกสองแบบเช่นเคย คือ ปลาย่าง (รสชาติคล้ายๆปลาไหลครับ ชอบๆๆ) กับบะหมี่หมูครับ

หลังจากที่ทานอิ่มแล้ว ไม่นานเครื่องบินก็เริ่มลดระดับสู่สนามบินฟุกุโอกะครับ รอบๆข้างตอนนี้ก็มืดสนิทแล้วล่ะ พอเครื่องแตะที่สนามบินก็ได้เวลาสองทุ่มตามกำหนดครับ  จากนั้นก็จะเป็นการเข้าสู่ขั้นตอนการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองต่อไป ผมและครอบครัวก็ผ่านฉลุยพร้อมเตรียมตัวลุยทริปซากุระสิบสองวันต่อจากนี้ครับ! (ออกจากสนามบิน ผมนั่งรถบัสไปลงที่ Domestic Terminal แล้วต่อรถไฟใต้ดินไปลง Hakata ครับ)

เอาล่ะ หลังจากนี้ผมก็ขอตัดภาพมาที่ตอนขากลับเหมือนเช่นเคยนะครับ ส่วนตัวผมยังคงมั่นใจว่าเพื่อนๆที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นส่วนใหญ่น่าจะไม่อยากกลับบ้านตัวเองเป็นแน่ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ยังไงก็ตั้งใจทำงานเก็บเงินแล้วมาเที่ยวใหม่เนอะ ^^

ในขากลับนี้เนื่องจากสัมภาระมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและงอกออกมาด้วย จากโรงแรมผมก็เลยใช้บริการแท็กซี่ครับ ให้โรงแรมเรียกให้นั่นแหละง่ายดี ค่ารถก็ถูกมากด้วย ราวๆ 1,300 เยนเท่านั้น (เฉลี่ยคนละร้อยกว่าบาทไทย ผมว่าคุ้มนะ ไม่ต้องแบกของขึ้นรถเมล์หรือรถไฟหลายต่อ) จากนั้นเมื่อเข้ามาด้านในสนามบินแล้ว ให้มองหาเคาน์เตอร์ E ครับ

 

เนื่องจากผมมาเร็วไปหน่อย (ยังไม่แปดโมง แต่เครื่องออก 10:55 น.) ปรากฏว่าเคาน์เตอร์ยังไม่เปิด!!! ก็เลยต้องเกิดปรากฎการณ์วางกระเป๋าต่อคิวกันไปตามภาพ ส่วนคนก็หายไปไหนกันก็ไม่รู้ ผมก็ผลัดกันไปเดินเล่นหรือเข้าห้องน้ำกับครอบครัวครับ แล้วสักประมาณแปดโมงครึ่งเจ้าหน้าที่ก็เปิดเคาน์เตอร์ให้ผู้โดยสารเข้าไปเช็คอินได้ ตอนไปเช็คอินนี่แอบปลื้มก่อนกลับด้วย เพราะที่เคาน์เตอร์มีการแปะภาพอาหารที่จะเสิร์ฟบนเครื่องให้เราดูหน้าตาพร้อมสรรพว่ามีอะไรบ้าง (ขึ้นเครื่องจะได้ไม่ต้องนั่งคิด) ผมล่ะชอบความใส่ใจของคนญี่ปุ่นจริงๆ และเมื่อทำการโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินเข้าไปด้านใน ตม. เพื่อเตรียมเข้าสู่ด้านในและกลับบ้านเกิดครับ (จริงๆก็ยังไม่อยากกลับหรอก แต่อยู่มา 12 วันแล้ว กลับไปปั๊มตังค์ดีกว่า)

ด้านในนี้ บอกตรงๆว่า "อย่าไปเทียบกับสนามบินนาริตะ นั่นมันที่สุดแห่งสนามบินช็อปปิ้งของญี่ปุ่นแล้ว" ที่สนามบินฟุกุโอกะจะเล็กมาก แต่เล็กแค่ไหน ขาช็อปก็ไม่ต้องห่วงเพราะที่นี่มี "มันฝรั่งฮอกไกโด, Royce, Shiroi-Koibito และขนมชื่อดังอื่นๆขายเพียบ" แต่ต้องทำใจหน่อยว่า คิวยาวครับ ยังไงเวลาช็อปปิ้งก็รักษามารยาทกันด้วยก็แล้วกัน ช่วยกันต่อคิวจ่ายเงินและโปรดอย่าเนียนแซงคิวนะครับ

เวลาที่เหลือหลังจากช็อปขนมของฝากทั้งหลายเรียบร้อย ผมก็เดินเล่นถ่ายรูปในสนามบินครับ เช้านี้คนเยอะมากทีเดียว จากนั้นพอได้เวลา boarding ทุกคนก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องตามเวลาครับ สำหรับเลขเด็ดของไฟลท์ขากลับก็คือ  

CI111 ฟุกุโอกะ FUK 10:55 น. - ไทเป TPE 12:30 น.

CI835 ไทเป TPE 13:30 น. - กรุงเทพฯ BKK 16:00 น.

ขากลับผมได้นั่งแถวหน้าสุด ทำให้มีพื้นที่กว้างขวางทีเดียว บวกกับทีวีที่ดูเพลินๆก็ทำให้อาหารที่เสิร์ฟมาหมดไปอย่างรวดเร็ว (ผมเลือกเมนูเนื้อแฮมเบิร์กครับ ดูภาพได้เลย) จากนั้นเครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินเถ่าหยวนตามเวลา อ้อ ลืมบอกว่า เครื่องบินขากลับนี้ จะเป็น A330-300 เหมือนขามานะครับ ที่นั่งเป็นแบบ 2-4-2 อีกตามเคย!

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ลงมาที่สนามบินเถ่าหยวน ผมก็ไปที่ Gate ทันที ปรากฏว่า.....ไฟลท์ขากลับ Delay.....จากกำหนดการเดิมที่ต้องออกประมาณ 13:30 น. ก็ถูกเลื่อนไปเป็น 14:15 น. ครับ รู้แบบนั้นก็เลยไปเดินเล่นอีกนิดหน่อยในสนามบินดีกว่า คือ ไม่ได้จะตั้งใจซื่ออะไรแต่แรกอยู่แล้ว ก็เลยชิวๆครับ จะบอกว่าไฟลท์นี้ผู้โดยสารเต็มลำ ส่วนใหญ่ก็ชาวไทยล่ะครับ มาเป็นกรุ๊ปทัวร์เพียบ ก็วันนี้วันหยุดสุดท้ายของสงกรานต์พอดีนี่นา และแล้วเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน พอได้เวลา เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกขึ้่นเครื่องอีกครั้ง งานนี้ทุกคนก็พร้อมใจกันรีบต่อคิวเพื่อขึ้นเครื่องทันทีครับ

ขากลับของช่วงนี้จะเป็นเครื่อง A330 อีกแล้วววววว ที่นั่งยังคงเป็นแบบ 2-4-2 ครับ ผมเองก็ได้นั่งตรงที่นั่งสี่ที่ตรงกลาง ส่วนตัวรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยแต่ก็ไม่มากนักและมีทีวีส่วนตัวช่วยฆ่าเวลาได้ สำหรับอาหารบนเครื่องจะมีสองแบบให้เลือกตามเดิม คือ พาสต้าหมูกับไก่ครับ

สุดท้ายเครื่องบินของสายการบิน China Airline ก็ร่อนลงสู่สนามบินสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัยและก็ถือเป็นการจบทริปซากุระ 2017 ของโอทารุไปอีกครั้งหนึ่ง ส่วนทริปต่อไป ผมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไว้จะมารีวิวในโอกาสต่อไปครับ!

สรุป

ขอแบ่งเกณฑ์การให้คะแนนเป็นห้าหมวดเช่นเคยนะครับ ทั้งนี้ขอย้ำว่า คะแนนที่ผมให้ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ เพราะประสบการณ์ในแต่ละเที่ยวบินมีความแตกต่างกันรวมถึงความคาดหวังของบริการในแต่ละบุคคลด้วยครับ ดังนั้น อ่านเอาเป็นไอเดียก็แล้วกัน

1. เวลาของเที่ยวบิน : ผมให้ 3.5 เต็ม 5 จริงๆมันมีไฟลท์เช้ากว่านี้ครับ (ออกแปดโมงครึ่ง) แต่สุดท้ายก็ต้องมานั่งรอที่สนามบินเถ่าหยวนเพื่อขึ้นเครื่องบินรอบเย็นอยู่ดี ดังนั้นผมจึงคิดว่าไฟลท์สิบเอ็ดโมงนี่แหละโอเคแล้ว ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องตื่นตีสี่ตีห้า ส่วนเวลาไปถึงฟุกุโอกะ รู้ว่ากลางคืนแน่ แต่ไปกับพ่อแม่ก็นอนรวดเดียวเลยดีกว่าครับ ส่วนเพื่อนๆที่มาจากต่างจังหวัด ถ้าจะต่อเครื่องมาที่สุวรรณภูมิก็เลือกไฟลท์เช้าๆหน่อยละกันครับ 

2. อาหาร : เอาไป 3 เต็ม 5 เอาจริงๆคือ ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเลย ทุกอย่างทานได้ครับ แต่ก็ไม่ได้ว้าวอะไรขนาดนั้น ส่วนเครื่องดื่มก็เสิร์ฟตามปกติ ชา กาแฟ เหล้า ไวน์ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ตามปกติครับ

3. inflight entertainment : เอาไป 3 เต็ม 5 พอ ขอตัดคะแนนเพราะจอทีวีเล็กและหนังมีให้เลือกน้อยครับ ใครติดซับไทยก็หมดสิทธิ์นะครับแต่ใครอ่านจีนกลางได้คงยิ้มเลยล่ะ ผมเองก็ฟังภาษาอังกฤษเอาได้ครับ แต่ถ้าใครได้แค่ภาษาไทยก็โหลดหนังลงมือถือก็แล้วกัน

4. การบริการ : โดยรวมโอเค เอาไป 4 เต็ม 5 ไม่ได้แย่และไม่แสดงกิริยาไม่สุภาพครับ ที่สำคัญขาไปช่วงไทเป-ฟุกุโอกะ พนักงานหน้าตาน่ารักมากกกกก อิอิอิ 

5. Airport facilities : เอาไป 4.5 เต็ม 5 ถ้าสนามบินเถ่าหยวน ก็โอเคนะ น้องๆญี่ปุ่นเลยล่ะ สะอาด ป้ายชัดเจน แถมมีภาษาญี่ปุ่นกำกับอีกในหลายๆจุด น้ำฟรีมีให้กดและมีของขายเยอะเลย ขาช็อปปิ้งคงชอบ ส่วนสนามบินฟุกุโอกะ เล็กมาก เดินแป๊บเดียวก็ครบละ ยังดีมีร้านอาหารราคาไม่แพงที่บอกเลยว่าราคาถูกกว่าสนามบินบ้านเราอีก ทั้งๆที่นี่ญี่ปุ่นนะ แล้วก็พวกขนมยอดฮิตไม่ต้องห่วง มีขายครับ!!!  

สุดท้าย คือ "ราคา" รอบนี้ผมได้ราคา 19,850 บาทต่อคน รวมหมดแล้วพร้อมกระเป๋าได้ 30 กิโลกรัม หลายคนอาจจะบอกว่าแพง แต่ขอย้ำว่า ผมบินตอนช่วงพีค ซากุระที่คิวชูบานตั้งแต่ปลายมีนาคมแล้วนะครับ ยิ่งถ้าบินตอนสงกรานต์น่ะ แถวคิวชูก็เป็นช่วงร่วงเกือบหมดแล้วนะครับ ดังนั้นราคาที่ไม่ถึงสองหมื่นสำหรับผมนี้ถือว่าดีมากแล้วล่ะ (ถ้าอยากได้ถูกกว่านี้ แนะนำว่า ให้จองล่วงหน้านานๆ เวลามีโปรครับ แต่ขยันหาหน่อยก็แล้วกัน เมษายนน่ะ พีคคคคค) ส่วนอนาคตจะใช้บริการอีกไหม บอกเลยว่า "ใช้แน่นอนครับ" เพราะสายการบินนี้ มีบินไปฮอกไกโด (และโอกินาวะ) เท่าที่เช็คดูไปฮอกไกโดก็ราคาสองหมื่นต้นๆเท่านั้นแหละ น่าสนๆ ^__^ 

-------------------------------------------------------------------

ภาพปกจาก http://www.travelweekly-asia.com/uploadedImages/Industry/Aviation/china-airline-crew.jpg

ภาพที่เหลือจะมีลายน้ำ เป็นภาพจากกล้องของโอทารุทั้งหมดครับ ใครจะนำไปใช้ก็มาขออนุญาตกันก่อนนะครับ 

-------------------------------------------------------------------

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร?

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากสอบถาม --> เชิญ add friend ทาง Facebook ครับ พิมพ์คำว่า Otaru Taichou ในช่องค้นหา เดี๋ยวว่างๆ ผมจะเข้าไป add เองครับ

ตำรวจโอซาก้าบุกจับเจ้าของร้านคีบตุ๊กตาในข้อหาดัดแป...
ฤดูหนาวญี่ปุ่นสุดโหด! ผู้โดยสาร 400 คนติดอยู่บนรถไ...