EasyBlog

This is some blog description about this site
รีวิวการบินไทยจากกรุงเทพสู่นาริตะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นตามเมืองใหญ่ก็เริ่มมีข่าวใบไม้เปลี่ยนสีกันบ้างแล้วนะครับ โอทารุก็ได้ฤกษ์เขียนรีวิวสายการบินยอดฮิตอย่างสายการบินไทย (Thai Airways) หรือที่เรานิยมเรียกกันว่าเจ้าป้า/ป้าม่วง นั่นเองครับ โดยเส้นทางที่ผมจะมารีวิวแบบสบายๆในวันนี้ก็เป็นเส้นทางยอดฮิตอีกนั่นแหละ ซึ่งก็คือ เส้นทางกรุงเทพ(BKK) - นาริตะ (NRT) ไปกลับแบบบินตรงครับ! มาเริ่มกันเลยเนอะ ^^

การบินไทยนั้น คงไม่ต้องสาธยายอะไรให้เพื่อนๆรับทราบมากมายครับเพราะการบินไทยคือสายการบินประจำชาติแห่งความภูมิใจของเราที่มีอายุมาเกินครึ่งศตวรรษแล้ว! ปัจจุบันการบินไทยมีเส้นทางบินสู่เมืองหลักในประเทศต่างๆเกือบทั่วทุกทวีปในโลกใบนี้ครับ และประเทศญี่ปุ่นเองก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมากทีเดียวครับ (ถ้าไม่นับ Low Cost Carrier น่ะนะ) โดยปัจจุบันนี้ (1 พฤศจิกายน 2560) การบินไทยมีเส้นทางบินไปกลับประเทศญี่ปุ่น จำนวน 6 เส้นทางดังนี้

1.กรุงเทพ-โตเกียว (สนามบินนาริตะ)

2.กรุงเทพ-โตเกียว (สนามบินฮาเนดะ)

3.กรุงเทพ-นาโงย่า 

4.กรุงเทพ-โอซาก้า (สนามบินคันไซ)

5.กรุงเทพ-ฟุกุโอกะ

6.กรุงเทพ-ซัปโปโร (สนามบินชินชิโตเสะ)

**แถมให้ : เมื่อก่อนเคยมีเส้นทางกรุงเทพ-เซนได ด้วยล่ะครับ แต่สงสัยไม่รุ่งก็เลยโดน terminate route ไปแล้ว อ้อ! แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งเส้นทางที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้คือ เส้นทางกรุงเทพ-โอกินาวะ ครับ แต่เส้นนี้เป็นแบบ "เหมาลำ" คือ ต้องไปกับบริษัททัวร์นะครับ ใครเป็นขาแบ็คแพคหรืออยากเที่ยวเองคงต้องไปบิน Peach Air ไม่ก็ HongKong Airline ครับ นี่ผมบอกให้เป็นความรู้ก็แล้วกันนะ

โอเค กลับมาที่เรื่องการรีวิวต่อดีกว่า!!!

ในวันเดินทางนั้น ผมเองเลือกวันเดินทางในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนของปีที่ประเทศญี่ปุ่นเพิ่งออกกฎ "ฟรีวีซ่า" คนไทยไปหมาดๆแค่สี่เดือนเท่านั้น ตอนนั้นบอกเลยว่า ผู้โดยสารยังน้อยกว่าปัจจุบันพอสมควรครับ แต่ผมรู้ตัวไว้แล้วว่าฟรีวีซ่ามันมาแน่ก็เลยดักรอโปรโมชั่นที่ออกมาต้อนรับพอดีครับ ^^

สำหรับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น(และเกาหลีใต้)ด้วยสายการบินไทยนั้น ผู้โดยสารต้องมาที่เคาน์เตอร์เช็คอิน Row C นะครับ จะมีป้ายขึ้นชัดเจนเลยว่าสำหรับไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ผมขอแนะนำเพื่อนๆเช่นเคยครับว่าควรทำ "Internet Check-in" มาจากบ้านหรือที่ทำงานเลย เพราะเวลามาเช็คอินนั้น เคาน์เตอร์ของพวก internet check in มักจะว่างกว่าแถวธรรมดาเสมอครับ และหลังจากที่ผมได้รับ boarding pass เรียบร้อยแล้วก็ผ่านพิธีด่านตรวจคนเข้าเมืองขาออกตามปกติและมุ่งหน้าไปเสาะหาเสบียงลงท้องที่ King Power Lounge ครับ!

ออกตัวก่อนว่าผมเองไม่ใช่ขาช็อปปิ้งหรือมีออเดอร์จากชาวบ้านชาวช่องให้ซื้อของ Duty Free ทั้งในไทยและเทศ ดังนั้นผมก็เลยนั่งกิน+เล่นมือถือไปเรื่อยๆ จนใกล้ได้เวลาเครื่องจะ boarding ก็เดินไปที่ Gate ครับ โดยมีเลขเด็ดที่ออกในวันนี้คือ

TG 642 เส้นทางกรุงเทพ(BKK) - นาริตะ(NRT) ทำการบินเวลา 23:40 น. และถึงญี่ปุ่นเวลา 07:30 น. (+1) ของวันถัดไปครับ

เครื่องบินที่ได้นั่งในขาไปนี้จะเป็นเครื่องบินแบบ Airbus A330-300 (เครื่องแบบเดียวกับไทยแอร์เอเชีย X ที่กำลังฮิตนั่นแหละ) ซึ่งมีผังที่นั่งแบบ 2-4-2 พร้อมจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง+ที่ชาร์จแบตมือถือ/ipad ครับ! ผมเองก็เลือกจองที่นั่งในส่วนของริมฝั่งซ้ายแบบสองที่นั่งสิครับ! เพราะเราได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องได้พบกับสิ่งที่ผมผูกพันมาตั้งแต่เด็กอย่างแน่นอน เดี๋ยวมาเฉลยครับ อิอิ

**ภาพที่นั่งที่เห็นนี้เป็นภาพแทนนะครับ เพราะขอบอกตรงๆว่าตัวผมเองไม่ได้ถ่ายเก็บไว้ แต่นี่คือภาพจากเครื่องบินรุ่นเดียวกันที่ผมใช้บินในคราวนี้ครับ อย่างไรก็ตามในวันที่เพื่อนๆบิน aircraft อาจแตกต่างไปจากที่ผมบินก็ได้ครับ (ล่าสุดผมเช็คข้อมูล เดี๋ยวนี้บางไฟลท์ใช้ Boeing 777 ก็มีเยอะนะครับ)

เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้าและไต่ระดับไปได้สักพักก็มีการแจกน้ำแจกขนมกันครับ ก็ Full Service นี่นา! แต่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็หลับกันแล้วล่ะ ผมเองก็ดูทีวีไปได้สักพักก็ต้องนอนเหมือนกันเพราะเลยเวลานอนปกติไปมากแล้วอ่ะนะ

เครื่องบินมุ่งหน้าสู่กรุงโตเกียวอย่างสบายๆจนกระทั่งเวลาราวๆ ตีห้า ไฟก็เริ่มสว่างขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่างก็เริ่มเห็นแสงอาทิตย์ที่ปลายขอบฟ้ากันครับ สักพักก็จะเป็นการเสิร์ฟอาหารเช้าโดยมีเมนูให้เลือกสองแบบเช่นเคย คือ Omelette กับข้าวต้มครับ ผมเองก็เลือก Omelette ไปเพราะดูท่าจะให้พลังงานได้เยอะกว่าข้าวต้มครับเพราะเดี๋ยวต้องเดินอีกหลายชั่วโมงกว่าจะได้ทานข้าวเที่ยง อิอิ

ขอเล่าให้ฟังนิดนึงว่า ไข่มันจะจืดๆหน่อย แต่เราสามารถโรยเกลือหรือพริกไทยเพิ่มได้ครับ จะได้มีรสชาติมากขึ้น ส่วนโยเกิร์ตกับขนมปังก็ไม่เลวนัก ทาเนยแล้วก็ทานได้จนหมดเหมือนกันครับ ไม่ได้แข็งโป๊กแบบบางสายการบินนะ! และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วจนกระทั่งลูกเรือเก็บถาดอาหารไปก็ขอแนะนำให้รีบลุกไปเข้าห้องน้ำทันทีครับเพราะปกติห้องน้ำจะโดนแย่งกันเข้าช่วงนี้มากที่สุด ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องทำ "ธุระตอนเช้า" ถ้ามันมาก็อย่าลีลาครับ ลุกออกไปเลย เพราะการไปยืนบิดรอหน้าห้องน้ำนี่มันคือทรมานบันเทิงอย่างหนึ่งจริงๆนะ

เมื่อกลับมาจากการทำธุระแล้วผมเองก็ใจจดใจจ่อยืดคอรอดูที่หน้าต่างบานโตเพื่อรอคอยสิ่งที่เฝ้ารอมานาน.....จริงๆมันเหมือนเกมวัดดวงนะครับเพราะเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าวันนี้เราจะได้เห็นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม "โชค" ยังคงอยู่ข้างผมในวันนี้ เพราะก่อนที่เครื่องบินจะเริ่มทำการลดระดับสู่สนามบินนาริตะนั้น สิ่งที่ผมรอคอยมาแรมปีก็ได้รับการตอบสนองแล้ว นั่นคือ ฟูจิซังกำลังส่งยิ้มรอต้อนรับอยู่แบบเต็มๆตา โอ้ยยยยย ผมบอกเลยครับว่า ดีใจมากกกกกกกกกกกกกก เพราะนี่คือครั้งแรกที่ได้เห็นฟูจิซังแบบมีหมวกคลุม (หิมะนั่นแหละ) เต็มๆเป็นครั้งแรกบนฟ้า (ที่ผ่านมาเคยเจอแต่ระดับพื้นดิน) แน่นอนว่าผมก็ต้องกดชัตเตอร์ไม่ยั้งน่ะสิครับ และนี่ก็คือ ภาพสวยๆที่ผมได้บันทึกไว้ครับ ^^

อ่ะ เอาไปอีกหนึ่งภาพนะครับ งามงดจริงๆ ฟูจิซัง (ส่วนตัวผมเองเชื่อว่าฟูจิซังเป็นเพศหญิงครับ ความเชื่อส่วนตัวนะครับ ไม่มีหลักวิทยาศาสตร์อะไรทั้งนั้น มีแต่หลักข้าล้วนๆ)

ในจุดนี้เพื่อนๆที่อยากเห็นเหมือนผมๆก็ขอแนะนำทริคง่ายๆ ในการ "ลุ้นทักทาย" ฟูจิซังดังนี้ครับ!

1.บอกตรงๆก่อนว่า "ไม่ใช่บินทุกครั้งแล้วจะเห็น" ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศล้วนๆ เพราะเราไม่ใช่คนที่ต้องเดินทางผ่านภูเขาลูกนี้ทุกวัน ดังนั้นถ้าคุณจองตั๋วแล้วก็ต้อง "วัดดวงล้วนๆ" ว่าสภาพอากาศในวันที่บินนั้นจะเป็นอย่างไร 

2.ถ้าคุณนั่งเครื่องบินมาจากกรุงเทพฯ (และเมืองอื่นๆในแถบอาเซียน) ขามาต้องเลือกนั่ง "ฝั่งซ้าย" ของเครื่องบิน (แอร์เอเชีย X, ANA, Japan Airline, Cathay Pacific, Vietnam Airline, Singapore Airline, Scoot ก็ใช้หลักการเดียวกัน) 

3.เลือกฝั่งซ้ายแล้วไม่ใช่ที่นั่งไหนก็ได้ ต้อง "ไม่ติดปีกเครื่องบินด้วย" ถ้าอยากรู้ผังที่นั่งของเครื่องบินให้ไปหาในอากู๋ (google) นะครับ ผมอยากให้เพื่อนๆฝึกค้นคว้าเองบ้าง

4.ถ้าเป็นขากลับ แนะนำให้นั่ง "ฝั่งขวา" ไม่ติดปีกเช่นกัน แต่ขากลับเท่าที่ผมสอบถามจากเพื่อนๆหรือบินเอง ขากลับมักจะพบเจอฟูจิน้อยกว่า คือ อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเลือกกลับไฟลท์เย็น (ซึ่งมันมืดแล้วอ่ะนะ) หรือไม่ก็เส้นทางบินในวันนั้นมันบินออกทะลแล้วมุ่งหน้ากลับไทยเลย (ผมโดนมาแล้วครับตอนบินกับ ANA ขากลับ)

5.รอวันบินแล้วก็ลุ้นอย่างเดียว ทำได้เท่านี้จริงๆ

ขอฝากไว้นิดนึงว่า ตอนซื้อตั๋วเครื่องบิน ถ้าคุณซื้อกับเจ้าหน้าที่ก็ลองขอเขาไปเลยว่าขอจองที่นั่งนี้ๆๆได้ไหม ถ้าที่นั่งนั้นมันว่าง ปกติเราก็จองที่นั่งนั้นได้เลย ยกเว้น Lowcost ที่ต้องจ่ายค่า "เลือกที่นั่ง" เพิ่มเอง กรณีของโอทารุ ผมซื้อตั๋วที่ออฟฟิศสนามบินสุวรรณภูมิเลยครับแล้วก็บอกเจ้าหน้าที่ของ TG เลยว่าผมขอเลือกที่นั่งเบอร์นี้ๆๆ อิอิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็บริการผมเป็นอย่างดีครับ ^^

เล่าเรื่องฟูจิซังมาเเยอะละ ขอต่อละกัน! หลังจากที่เห็นฟูจิแล้ว เครื่องจะเริ่มลดระดับลงสู่สนามบินนาริตะครับ และเมื่อเครื่องแตะพื้นแล้วกก็จะเข้าสู่การเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปตามสไตล์ของแต่ละคนแล้วล่ะ! ผมเองก็ยืดเส้นยืดสายบนเครื่องหลังจากนั่งมานานแล้วก็เตรียมก้าวเท้าออกไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อท่องเที่ยวประเทศในฝันของผมต่อไปครับ!

และจากตรงนี้ ผมถือว่าจบการรีวิวขามาแล้วนะครับ แต่ผมจะขอตัดภาพมาที่การเดินทางขากลับด้วยสายการบินไทยเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเลขเด็ดเป็น

TG 677 เส้นทางนาริตะ(NRT) - กรุงเทพ(BKK) ออกเดินทางเวลา 17:30 น. ถึงเมืองไทยตอน 22:30 น. 

เพื่อนๆที่มาเช็คอินนั้น ขอให้เดินทางมาที่ Terminal 1 South Wing เคาน์เตอร์ F นะครับ ขอเตือนสักนิดว่าวันนั้นคนเยอะมาก (ผมกลับวันรัฐธรรมนูญ) ผู้โดยสารเต็มลำครับ ยังไงถ้าเพื่อนๆคนไหนบินตอนเทศกาลหยุดยาวทั้งหลายแหล่ก็ "เผื่อเวลา" กันหน่อยนะครับ และเมื่อผมโหลดกระเป๋าแล้วก็เดินเล่นถ่ายภาพเก็บบรรยากาศสนามบินนาริตะสักนิดก่อนเดินเข้าสู่โถงผู้โดยสารขาออก ทั้งนี้จะบอกว่า ร้านรวงที่ขายของก่อนเราเข้าด่าน ตม. อ่ะ บางร้านไม่มีสาขาในโถงผู้โดยสารขาออกนะ สรุปคือ "ถ้าเห็นแล้วซื้อซะ" นอกจากไปทำการบ้านมาแล้วว่าข้างในมีขาย แต่ผมบอกมือใหม่เลยว่า ถ้าคุณมาครั้งแรก "ซื้อเลยอย่าหวังน้ำบ่อหน้า" บางร้านมันมีแค่ข้างนอกจริงๆ เชื่อเหอะ! เพื่อนคนไทยที่อยู่ญี่ปุ่นเกิน 10 ปียังยืนยันเลยครับ!!!

และเมื่อเข้าสู่โถงผู้โดยสารขาออกแล้ว หากยังมีเวลาเหลือก็เชิญช็อปปิ้งกันได้เต็มที่เลยครับ สนามบินนาริตะขึ้นชื่อในหมู่นักช็อปมากๆว่าเหมือนแดนสวรรค์และแดนละลายเงินเยนเพราะมีของให้เลือกซื้อประหนึ่งที่นี่เหมือนห้างสรรพสินค้าจริงๆ อันนี้ผมขอบอกเลยว่าขนาดผมไม่ใช่คนช็อปยังเดินซื้อขนมได้เพลินๆแถมมีของฝากเล็กๆน่ารักติดมือไปพอสมควรครับ ใครขาช็อป บอกเลย "รีบมาาาาาาา"

เอาเป็นว่าใครใคร่ทำอะไรก็ทำไปนะ ผมขึ้นเครื่องก่อนล่ะ! 

สำหรับเครื่องบินในขากลับ อาจจะแปลกใหม่สำหรับบางคน เพราะเครื่องบินที่ผมจะบินในวันนี้คือ Airbus A380 ซึ่่งเป็นเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่มากๆ ถึงขนาดมีสองชั้นเลยล่ะครับ! ปกติเชื่อว่าชาวไทยส่วนมากจะคุ้นเคยกับเครื่องบินแบบร้อยกว่าที่นั่งหรือสามร้อยกว่า แต่ A380 นี้ขอบอกเลยว่าจุคนได้มากกว่า 500 ที่นั่งเลยนะ ใหญ่มากกกกกก สำหรับชั้น Business และ First ผมเองก็ยังไม่มีโอกาสได้หย่อนก้นหรอกนะครับ (ก็อยากลองแหละ แต่ทรัพย์จางอยู่) เลยเอาผังที่นั่งชั่นประหยัดไปก็แล้วกันนะครับ คือ 3-4-3 คือ อาจจะดูแออัดหน่อย แต่เครื่องก็กว้างอยู่ครับและอยากจะบอกว่าอัดกันอย่างนี้ seat width ตั้ง 18 นิ้วนะครับ...(บางสายการบินใช้ผังที่นั่ง 3-3-3 แล้วบีบ seat width เหลือแค่ 16.5 นิ้วก็มีนะครับ)

ทั้งนี้ ผมมีอะไรดีๆจะบอก เพราะว่ามันมีที่นั่งเดียวที่เป็นแบบนี้และผมรู้ล่วงหน้าจาก internet ก็เลยรีเควสไปและเจ้าหน้าที่ก็ให้จองด้วยครับ นั่นคือ ที่นั่งเบอร์ 60D ส่วนจะแตกต่างกับชาวบ้านยังไงก็ดูภาพประกอบได้เลยครับ

ดูภาพแล้วงงไหมครับ ถ้ายังมึนงงสงสัย ผมบอกให้ก็ได้ครับ ที่นั่งที่ผมได้นั้น ข้างหน้าผมไม่มีเก้าอี้ครับ เท่ากับว่า ขาของผมยืดเท่าไหร่ก็ได้ ยังไงก็ไม่ถึงที่เก็บของสีม่วงตามภาพแน่นอน หรือพูดง่ายๆคือ "ที่นั่งของผมยาวกว่าชาวบ้าน 2 เท่านั่นแหละ!!!!!!"

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของที่นั่ง 60D ก็มีนิดหน่อย นั่นก็คือ "Seat width จะน้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อยเพราะที่พนักเท้าแขนฝั่งซ้ายเป็นที่เก็บจอส่วนตัวครับ" ส่วนโอทารุเอง "นอน" ครับ ง่ายๆ บ้านๆ เพราะเหนื่อยครับ ขากลับผมไม่แคร์เรื่องดูหนังสักเท่าไหร่หรอก ขอวางขาสบายๆดีกว่า โฮะๆๆ เอาเป็นว่าเพื่อนๆก็ไปชั่งน้ำหนักเองนะครับว่าจะจองเก้าอี้พิเศษตัวนี้ไหม "ทางเลือกเป็นของคุณแล้วครับ"

เอาล่ะ พูดเรื่องที่นั่งกันแล้ว ตอนนี้กลับมาเรื่องอาหารกันบ้าง บอกตรงๆว่า อาหารมื้อนี้ดูไม่ค่อยน่าทานเท่าไหร่ แม้ว่ารสชาติจะโอเคก็ตาม ชมกันเลยครับ

ผมสารภาพว่าจำไม่ได้ว่ามันคือเมนูอะไร แต่ทานเข้าไปได้ไม่เยอะแล้วก็นอนต่อครับ แต่ก็ขอชมว่า น้ำมีเสิร์ฟให้ถี่มากจริงๆครับ จุดนี้ชอบมากๆ ขอบอกเลย หรือใครอยากดื่มไวน์ดื่มเหล้าก็ขอได้นะครับ ฟรี! อิอิ

จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกสักพัก ผมก็ตื่นก่อนเครื่องลดระดับลงสู่ประเทศไทยครับ ลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วก็กลับมานั่งรอเครื่องแตะพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมินี่แหละ ขากลับต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ไปเดินเล่นสำรวจบนเครื่องเลย เพราะสลบเหมือดจริงๆ ไว้ถ้ามีโอกาสจะรีวิวให้ดูใหม่นะครับ! และก็ขอจบการรีวิวในส่วนของการบินไทยในเส้นทางกรุงเทพ-นาริตะ-กรุงเทพเพียงเท่านี้ครับ สำหรับบทสรุปขอให้เลื่อนลงมาข้างล่างได้เลยครับ!

สรุป 

ขอแบ่งคะแนนการรีวิวออกเป็นหัวข้อใหญ่จำนวน 5 หัวข้อเพื่อความสะดวกในการให้คะแนนครับ ทั้งนี้ คะแนนที่ผมให้นั้น เป็นประสบการณ์ที่ได้รับโดยตรงจากสายการบินไทยในวันที่ใช้บริการ คะแนนที่ผมให้ในวันนี้ไม่สามารถสะท้อนถึงผลงานหรือประสิทธิภาพโดยรวมของสายการบินได้และผู้เดินทางคนอื่นอาจได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น 

1.เวลาบินของเที่ยวบินนี้ : ผมให้ 5 เต็ม 5 เพราะชอบไฟลท์บินดึกถึงเช้า คือ ตื่นมาก็ถึงญี่ปุ่นตอนเช้าลงเครื่องออกเที่ยวได้เลยแถมไม่เสียค่าโรงแรมด้วย อย่างไรก็ตามบรรดาผู้สูงอายุจะไม่ค่อยชอบไฟลท์แบบนี้เท่าไหร่เพราะนอนบนเครื่องได้ไม่เต็มอิ่ม ปวดคอมั่งล่ะ นอนไม่คุ้นที่ไม่ได้มั่งล่ะหรือแม้กระทั่ง ดู TV เพลินจนไม่ได้นอนก็มี ดังนั้นต้องดูสภาพของสมาชิกที่ไปด้วยกันนะครับ ส่วนเพื่อนๆที่บินมาจากต่างจังหวัด ผมว่าเวลาออกดึกๆยังงี้ดีนะ สมมุติเราอยู่เชียงใหม่แล้วบินมาถึงสุวรรณภูมิสักสองทุ่มก็กำลังดีเลย (ถ้าลงดอนเมืองก็มาถึงสักหกโมงเถอะ รถติดบรรลัยในกรุงเทพมากครับเดี๋ยวนี้)

2.อาหาร : เอาไป 4 เต็ม 5 ทานได้อยู่แถมชอบตรงที่เสิร์ฟน้ำแบบจุใจ คือ บางสายการบินจะมาพร้อมรถเข็นอย่างเดียว เทให้แล้วจบ แต่ของการบินไทยนี่พนักงานจะเอาถาดใหญ่ที่มีแก้วน้ำที่ใส่โค้ก น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มต่างๆ ให้เราเลือกหยิบเลยครับ ถ้าที่เราอยากดื่มเกิดหมดก็บอกพนักงานได้ครับ เดี๋ยวเขาจะเอามาให้เราถึงที่เลยล่ะ ชอบๆ

3.inflight Entertainment : เอาไป 4 เต็ม 5 ทีวีมีหนังให้ดูพอสมควร แต่หนังที่มี Subtitle มีน้อยครับ หนังที่เพิ่งฉายในโรงก็มักจะมาแบบ English ล้วนไม่ก็ไทยล้วนไปเลย ผมขอตัดคะแนนตรงนี้ละกัน!

4.การบริการจากเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินและบนเครื่อง : หัวข้อคลาสสิคที่มีการถกเถียงกันมาตลอดชาติและไม่เคยเลิกซะที แต่ส่วนตัวผมให้ 4 เต็ม 5 เอาแบบไม่อวยเลยนะ คือ บางทีเราก็คาดหวังจากพนักงานเยอะอ่ะ ขณะที่บางทีพนักงานความประพฤติเหลือเกินก็มีเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงบอกแล้วว่าประสบการณ์ตอนเดินทางของแต่ละคนนี่มันวัดคำว่า ดี/ไม่ดี ยากจริงๆ เอาเป็นว่าทริปของผมเจอพนักงานขายตั๋วดีมาก ตอนเช็คอินที่กรุงเทพก็โอเค ส่วนบนเครื่องถือว่าใช้ได้และดูขยันขันแข็งดี ขอน้ำแล้วไม่ลืมเอามาให้ (บางสายการบินขอแล้วหายไปเลยจนเครื่องลงก็ยังไม่ได้) มารยาทที่พูดกับผู้โดยสารคนอื่นก็โอเค ไม่ทำหน้าจิกกัดครับ

5.Airport Facilities : ปกติผมจะกล่าวถึงสนามบินที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน สนามบินนาริตะเป็นสนามบินที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆ สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ห้องน้ำสะอาดแถม auto มีทุกระยะ มีน้ำให้กดฟรีและไม่เสีย มีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารที่ราคาเป็นมิตรกับเงินของคุณ รวมทั้งมีแหล่งช็อปปิ้งส่งท้ายที่เหมือนยกห้างมาไว้ในสนามบิน คือ ใครมาช็อปที่สนามบินก็ได้อ่ะ มันมีเพียบมาก! ส่วนเจ้าหน้าที่ของสนามบินก็พูดภาษาอังกฤษ จีน เกาหลีใต้ได้เยอะขึ้นแล้วนะครับ สบายใจได้ ดังนั้น เอาคะแนนเต็ม 5 ไปเลยจ้า!

สุดท้าย ผมขอแจ้ง "ราคา" ที่ผมจ่ายเงินไปกับตั๋วเครื่องบินเส้นทางนี้ คือ 22,900 บาท (สองหมื่นสองพันเก้าร้อยบาทถ้วน) โอเค มันฟังดูแพงจริงๆแหละ เพราะนี่ราคาโปรแล้ว แต่.....นี่คือราคาโปรสมัยที่ญี่ปุ่นเพิ่งฟรีวีซ่าแค่สี่เดือน ออกมาเท่านี้ก็บุญแล้วสำหรับผม เพราะผมไปไล่หาราคากับ Japan Airline แทบช็อคเพราะขายสองหมื่นแปด ส่วน ANA ตอนนั้นเลขสามนำหน้าครับ.....แล้วก็สมัยนั้น Low Cost ยังไม่มีเปิดเส้นทางบินนะครับ ตัวเลือกไม่ได้มีเยอะแบบปี 2017 ดังนั้นได้บินก็บุญแล้วสมัยนั้น หุหุ แต่ปัจจุบันนี้เจ้าป้าก็มีโปรโมชั่นอยู่เป็นประจำนะครับ เดี๋ยวนี้ผมเห็น 15,000-16,000 บาทก็บินไปญี่ปุ่นได้แล้วเหมือนกัน ดังนั้นใครที่ตั้งแง่ตั้งงอนว่า "การบินไทยแพง" ก็ลองส่องโปรที่มักออกมาตามเพจสายการบินหรือ travel agent ทั้งหลายดูครับ ถ้าเจอดีๆก็อย่าลังเลนานล่ะ เดี๋ยวหมดโปรซะก่อนไงครับ! 

สำหรับการบินในครั้งนี้ ผมขอสรุปสั้นๆว่า การบินไทยยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับโอทารุ ผมเองก็บินไปญี่ปุ่นด้วยหลายสายการบินมาแล้ว ซึ่งแต่ละสายการบินก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไป และการบินไทยก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ผมยินดี "ใช้บริการ" เมื่อมีโอกาสครับ ก็ขอเป็นกำลังใจให้พนักงานการบินไทยทุกคนนะครับ ผมรู้ว่างานบริการนั้นเหนื่อยแทบขาดใจ โดนด่าก็เยอะ ชมก็แยะ แต่ถ้าเราได้ใจลูกค้าเมื่อไหร่ก็จะได้ใจเขาไปอีกนาน...เหมือนที่คุณได้จากผมเสมอมานี่ล่ะครับ ^__^

------------------------------------------------------------------------------------------

ที่มาของภาพปก http://www.thainarak.net/uploads/4/8/5/0/48500987/316575_orig.jpg

ภาพบนเครื่อง A330 จาก http://www.aviationwa.org.au/wp-content/uploads/2013/08/20130730_HS-TBA_Airbus_A330-343X_David_Eyre-8.jpg

ภาพที่เหลือมีการลงลายน้ำไว้แล้วเป็นภาพจากกล้องของโอทารุครับ ห้ามผู้ใดนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร?

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากสอบถาม --> เชิญ add friend ทาง Facebook ครับ พิมพ์คำว่า Otaru Taichou ในช่องค้นหา เดี๋ยวว่างๆ ผมจะเข้าไป add เองครับ

 

 

ตามรอยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ณ ประเทศญี่ปุ่น
ข่าวดี! ห้างดองกี้ (Don Quijote) เตรียมเปิดสาขาในไ...