EasyBlog

This is some blog description about this site
รีวิวบิน CATHAY PACIFIC ไปชมซากุระ ณ คันไซ

สวัสดีปลายหน้าหนาวครับท่านผู้อ่าน! อีกไม่นานก็จะถึงช่วงเวลาแห่งความสุขและสดใสของฤดูใบไม้ผลิแดนอาทิตย์อุทัยหลังจากที่ผจญกับฤดูหนาวอันเย็นยะเยือกและหิมะโปรยปรายแล้วนะครับ! แน่นอนว่าชาวญี่ปุ่นหลายล้านคนก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยฤดูนี้อย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกับเพื่อนๆของโอทารุทั้งหลายแน่ๆ เพราะเมื่อเราพูดถึงฤดูใบไม้ผลิเมื่อใด ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึง "ซากุระ" ไงครับ! ก็ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมคือ ช่วงเวลาที่ซากุระแสนงามจะได้ผลิดอกออกโฉมให้เราได้ดูกันครับ! หลายๆคนคงเตรียมตัวกันอยู่ใช่ไหมครับ!!! ดังนั้นในวันนี้ โอทารุจึงจะมารีวิวการเดินทางไปชมซากุระในเขตคันไซ โดยสายการบิน Cathay Pacific ให้เพื่อนๆได้อ่านเป็นข้อมูลกันครับ!

สายการบิน Cathay Pacific เป็นสายการบินแห่งชาติของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง มีฐานการบินอยู่ที่สนามบินเช็กแล๊ปก๊อก (HKG) ครับ ปัจจุบันนี้สายการบินก็เติบโตไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่น่าสนใจ พร้อมกับเส้นทางที่บินสู่จุดหมายใหญ่ๆเกือบทุกภูมิภาคของโลกเฉกเช่นเดียวกับสายการบินระดับโลกอื่นๆครับ และสายการบินนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในปัจจุบันของนักเดินทางชาวไทยที่ใช้เดินทางไปเที่ยวฮ่องกงหรือจะต่อเครื่องไปเที่ยวญี่ปุ่นหรือบินต่อไปอเมริกาก็ได้รับความนิยมเช่นกันครับ! โอทารุเองก็ใช้บริการสายการบินนี้มามากกว่า 5 ครั้งแล้ว ดังนั้นผมจึงเห็นว่า ควรจัดทำรีวิวให้เพื่อนๆได้อ่านเป็นไอเดียสักทริปก็จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ ^^

***สำหรับการรีวิวในทริปคันไซซากุระนี้ ผมบอกก่อนว่า "เป็นการรีวิวเป็นการเขียนโดยประสบการณ์ที่พบเจอด้วยตัวเอง ค่าตั๋วเครื่องบินก็ออกเองทุกบาท ภาพถ่ายก็กล้องมือถือกับกล้องส่วนตัวธรรมดา ดังนั้นอะไรที่เจอมาดีหรือไม่ดี ผมบอกทั้งหมดครับ และขอเตือนว่าประสบการณ์อะไรไม่ดีที่เกิดขึ้นในเที่ยวบินนี้ ไม่ได้แปลว่าเที่ยวบินอื่นจะแย่ไปด้วย ยังไงขอให้เปิดใจรับกันด้วยนะครับ!" ถ้ารับทราบแล้วก็เชิญอ่านเนื้อหาได้เลย!

การเดินทางการรีวิว ผมขอเริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิเจ้าเก่า ที่เปิดประตูรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและนำชาวไทยออกเดินทางสู่ประเทศต่างๆในโลกมาแล้วหลายปีครับ เมื่อเข้ามาในอาคารแล้วขอให้เดินไปที่เคาน์เตอร์ของ Cathay ในแถว M กันก่อนนะครับ จากนั้นก็เชิญเช็คอินและนำกระเป๋าสัมภาระไปโหลดลงเครื่องได้เลย ทั้งนี้ผมขอแจ้งข้อมูลของสายการบินให้เพื่อนๆทราบเป็นข้อมูลดังนี้

1. เคาน์เตอร์เช็คอิน จะปิดให้เช็คอินก่อนเวลาออกของเที่ยวบินนั้น 40 นาที ถ้าคุณมาช้ากว่านั้นก็มีสิทธิ์ตกเครื่อง

2. กรุณาคอยหน้า Gate อย่างน้อย 30 นาทีก่อนเวลาเครื่องออก เพื่อความสะดวกและป้องกันการตกเครื่อง

3. เคาน์เตอร์เปิดให้เช็คอิน 3 ชั่วโมงก่อนเวลาออกของเที่ยวบินนั้นๆ 

เมื่อเช็คอินเรียบร้อยพร้อมโหลดกระเป๋าแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ Boarding Pass มาคนละสองใบ คือ ขากรุงเทพ-ฮ่องกง 1 ใบ และ ขาฮ่องกง-โอซาก้า 1 ใบ ดังนั้นเช็คให้ดีนะครับ ถ้าไปญี่ปุ่นต้องได้สองใบต่อหนึ่งคนนะ! (แต่ถ้าใครไปเที่ยวแค่ฮ่องกงก็ได้ใบเดียวครับ) จากนั้นก็จะเข้าสู่พิธีการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามปกติ ซึ่งผมจะขอข้ามไปเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะมีคนทำรีวิวตรงนี้น่าจะหลายพันรีวิวแล้วล่ะ!

เห็นไหมครับ ได้ Boarding Pass มา 2 ใบ ห้ามหายทั้งคู่(จนกว่าจะถึงปลายทาง)ครับ

เที่ยวบินที่ผมจะใช้บริการในค่ำคืนนี้ เป็นเที่ยวบินรอบดึก คือ CX 706 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 01:20 น. (ตีหนึ่งยี่สิบนาที) ถึงฮ่องกงเวลา 05:10 น. (ตีห้าสิบนาที) ส่วนเครื่องบินที่ได้นั่งในรอบนี้จะเป็น Boeing 777 ที่นั่งจะเป็นแบบ 3-3-3 มีจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง พร้อมที่ชาร์จมือถือและปลั๊กเสียบ Notebook โดยจะใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาทีครับ

 

อ่ะ ดูเอาเองว่ามีจอทุกที่นั่งนะครับ ^

CX 706 ที่ใช้บริการในวันนี้ ผมสังเกตว่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ดูทีวีกันสักเท่าไหร่เพราะง่วงกันเกือบทั้งลำ อาหารที่เสิร์ฟก็จะเบาๆ เป็น Snack box ข้างในเป็นขนมปังกับน้ำผลไม้นิดหน่อยครับ พอทานเสร็จไม่นานนักกัปตันก็จะหรี่ไฟให้ผู้โดยสารนอนหลับ ผมเองก็นอนเหมือนกันเพราะต้องตุนแรงไว้สำหรับวันรุ่งขึ้นครับ

หลับไปนานเท่าไหร่ไม่ได้จับเวลา ที่แน่ๆ ไม่นานไฟในเครื่องบินก็สว่างพร้อมกับเสียงกัปตันที่ประกาศลดระดับเพดานบินเพื่อลงจอดที่สนามบินเช็กแล๊ปก๊อกครับ ผู้โดยสารก็งัวเงียๆ กันเป็นแถวเลยล่ะ จากนั้นเครื่องก็ลงจอดที่สนามบินอย่างปลอดภัยและราบรื่นครับ!

เมื่อลงเครื่องบินมา ผมก็เดินออกมาเข้าห้องน้ำเป็นอันดับแรกเพื่อไล่ความง่วงเสียก่อน เพราะตอนนี้ที่ฮ่องกงยังเช้าอยู่มาก! อย่าลืมปรับเวลาที่นาฬิกาของเราด้วยนะครับ เพราะเวลาที่ฮ่องกงเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง (พูดๆง่ายๆคือ ตอนเดินลงมาจากเครื่องนี่เมืองไทยเท่ากับตีสี่...ชาวบ้านชาวช่องเขายังนอนหลับสบายอยู่เลย!) สำหรับในการต่อเครื่องนี้ เพื่อนๆต้องดูป้ายให้ดีครับ ใครจะไปญี่ปุ่นแบบผม ต้องมองหาป้าย Transfer Desks เพราะมันคือจุดเปลี่ยนเครื่อง (ส่วนใครจะเข้าไปเที่ยวฮ่องกงก็เดินตามป้าย Immigration ไปเลย) โชดดีที่จุดเปลี่ยนเครื่องในครั้งนี้อยู่ใกล้กับด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็เลยหาง่ายหน่อย ที่จุดนี้ เพื่อนๆต้องแสดง Passport พร้อม ฺBoarding Pass ใบที่เป็น ฮ่องกง-ญี่ปุ่น นะครับ ห้ามทำหายเด็ดขาด เพราะถ้าหายนี่ "งานเข้าขนานใหญ่" และอาจต้องเสียเวลาไปคุยกับเจ้าหน้าที่ Cathay ในฮ่องกงอีกต่างหาก

อันนี้บอกไว้เผื่อใครลืม ต่อให้เราเปลี่ยนเครื่อง ยังไงก็ต้องผ่านด่าน X-ray กระเป๋าใบเล็กที่เราติดตัวขึ้นเครื่อง รวมทั้งด่านตรวจของเหลวด้วยครับ ดังนั้น ใครที่มีน้ำ หรือเครื่องสำอางที่เกินปริมาณที่กำหนดก็มีสิทธิ์โดนยึดหรือทิ้งได้ ดังนั้นระวังจุดนี้ไว้ด้วยครับ!

และเมื่อผ่านด่าน X-ray กระเป๋ามาได้ เราก็จะมาโผล่ที่ Departure Hall ของสนามบินครับ ผมเหลือบดูเวลาตอนที่ขึ้นมาชั้น Departure ก็พบว่า เพิ่งผ่านไปแค่ 30 นาทีเอง! สำหรับเที่ยวบินต่อไปที่ผมจะได้ใช้บริการนั้น ก็คือ CX 506 กำหนดออกเวลา 10:15 น. และถึงสนามบินคันไซ เวลา 14:40 น. ครับ...ถ้าเพื่อนๆอ่านตามผมมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ เพื่อนๆ สังเกตไหมครับว่ามันมีอะไรตั้งแต่เครื่องลง.....คิดดูครับ คิดๆๆๆๆๆ ใช่แล้ว!!! ผมมีเวลาต่อเครื่องตั้ง 5 ชั่วโมงเต็มไงล่ะ!!!!!! นับดูครับ เครื่องลง 05:10 น. เครื่องออกอีกที 10:15 น. ได้เวลาว่างมาตั้งเยอะ!!!.....

ทว่า....ฟังแล้วเหมือนจะดูดี ถูกไหมครับ แต่อย่าลืมนะครับ ถึงแม้สนามบินจะเปิด 24 ชั่วโมง แต่ร้านรวงที่เปิด 24 ชั่วโมงมันมีน้อยมากๆนะครับ และตอนที่ผมขึ้นมาชั้น Departure Hall ก็ยังไม่หกโมงเช้าด้วยซ้ำ จะไปหาอะไรทานก็ยังไม่ได้ ตัดสินใจได้ดังนั้นก็เลยเดินไปเช็ค Gate ที่ไว้ใช้ต่อเครื่องไปคันไซเลยละกัน เวลาถมถืด เดินทอดน่องไปได้เลย (ผมเช็คหมายเลข Gate จากทีวีหน้า Transfer Desks ครับ) และเมื่อมาถึงหน้า Gate ก็เป็นไปตามที่คิดคือ ยังไม่มีร้านรวงเปิดเลยแม้แต่ร้านเดียว งั้นก็ไม่ต้องอะไรมาก...ตอนนี้ตัวเลือกมีเพียงสองอย่างคือ นั่งเล่น Free Wi-fi ของสนามบินไปพลางๆหรือจะนอน ซึ่งคำตอบของผมก็คือ นอนครับ! นอนตรงม้านั่งหน้า Gate นั่นแหละ!!! บนเครื่องจะได้เก็บแรงไว้ดูทีวีไงล่ะ (เอาเป้ทำเป็นหมอนเลยครับ กันคนขโมยได้ดีด้วย อิอิ) โชคดีที่ Gate ตรงนี้ไม่ใช่ทางหลักที่คนเดินพลุกพล่านก็เลยนอนหลับได้พอสมควร รู้สึกตัวอีกทีก็เกือบๆ 8 โมงโน่น! ได้หลับไปแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เมื่อตื่นแล้ว ร้านรวงก็เริ่มเปิด ผมก็เลยไปเดินหาอะไรรองท้องเสียหน่อย สุดท้ายก็มาหยุดหน้า Starbucks สาขาสนามบินฮ่องกงแล้วก็สอยชาเขียวหนึ่งแก้วนี่แหละครับ (ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปชาเขียวครับ ดูดหมดเพิ่งนึกออก)

 

ตื่นมาเกือบๆแปดโมง ตอนนี้สว่างแล้ว!

จากนั้นผมก็เดินเล่นไปที่ชั้นบนซึ่งเป็นร้านอาหารดู ตอนแรกว่าจะหาบะหมี่เกี๊ยวหรืออะไรเบารองท้อง อนิจจา...เห็นราคาแล้ว ถ้าจะทานอาหารหนักๆต้องมีไม่ต่ำกว่า 100 HKD (ประมาณ 450 บาท) จึงจะอิ่มท้องครับ คิดได้ดังนั้นผมเลยยอมอดข้าวไปทานบนเครื่องดีกว่าเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ทานแล้ว (งกนั่นเองครับ 555) ระหว่างนี้ผมก็เดินเล่นไปตามบริเวณต่างๆ แล้วถ่ายรูปเครื่องบินไว้เล่นๆ ฆ่าเวลาครับ

พอได้เวลาสัก 9 โมงเช้าก็กลับมาที่ Gate 15 เพื่อป้วนเปี้ยนรอ Gate เปิด ซึ่งผมก็นั่งรอเล่นมือถือไปจนกระทั่ง..."เฮ้ย 9 โมง 20 แล้ว Gate ยังไม่เปิดอีกหรือนี่" คิดในใจแล้วก็เริ่มเอะใจ เลยแหงนดู...แม่จ้าววววววว หน้าจอสถานะที่เคยขึ้น CX 506 ตอนนี้ขึ้นเป็นจุดหมายอื่นแล้วครับ ก็สะดุ้งสิ! รีบจับกระเป๋าแล้ววิ่งไปเช็คจอทีวีเพื่อความชัวร์ ปรากฏว่า Gate Change จริงๆด้วย!!!! กลายเป็น Gate 64 แทนครับ อารมณ์ตอนนั้นช็อกมาก กลัวตกเครื่อง เลยวิ่งหน้าตั้งหาป้ายไป Gate 64 ซึ่งเจ้า Gate ที่ว่านี้ก็อยู่ไกลมาก ถึงขนาดป้ายบอกทางชี้ให้ผมวิ่งลงไปใช้ Sky Train ในสนามบินเลยด้วยซ้ำ (ดูแผนที่ประกอบครับ ว่าไกลมาก)

ดูสิครับ จาก 15 ย้ายไป 64 ไม่ใช่ใกล้ๆนะคู๊ณณณณ!

เมื่อโผล่มาที่ Gate 64 แล้วจะว่าโล่งใจก็โล่งใจ เพราะถึงหน้า Gate ทันเวลา แต่...สุดท้ายเครื่อง Delay จ้าาาาาา เลื่อนไปออกประมาณ 11 โมง (อ๊ากกกกกกกก)

คราวนี้ผมไม่เดินไปไหนแล้วครับ นั่งรอหน้า Gate เลย โชคดีที่สนามบินฮ่องกงนี้ก็มีที่ปลั๊กไฟให้เสียบชาร์จโทรศัพท์ด้วย หรือใครเอามาแค่สาย USB ก็ชาร์จได้เช่นกันครับ ตรงนี้ขอชมว่าดีจริงๆครับ

ยังไงอย่าลืมเอาที่แปลงหัวมาด้วยนะครับ เพราะช่องเสียบที่ฮ่องกงไม่เหมือนแบบบ้านเรา!

หลังจากตั้งหน้าตั้งตารอเวลา พอ 11 โมงตรงก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ประกาศใดๆครับ ก็เลยเริ่มเซ็งกันละ เพราะกำหนดการที่จะเที่ยวคันไซก็ต้องช้าลงไปอีกชั่วโมง และแล้วโชคก็ช่วย(มั้ง) ที่หลังจากนั้นไม่กี่นาที เจ้าหน้าที่สายการบินก็ประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องครับ จังหวะนั้นคนลุกพรึ่บกันแทบทั้ง Gate เลยล่ะ!!! ผมก็ดีใจมากๆ รีบไปต่อคิวแล้วขึ้นเครื่องทันทีครับ สุดท้ายกว่าเครื่องจะทะยานออกจากสนามบินแห่งนี้ได้ก็ประมาณ 11:45 น. โน่น!...และต่อจากนี้ก็จะใช้เวลาทำการบินอีกประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ก็จะถึงสนามบินคันไซครับ

เครื่องบินในรอบนี้ ก็ยังคงเป็นแบบ 3-3-3 ครับ รอบนี้แอบปลื้มเพราะได้ที่นั่ง "แถวหน้าสุด" ทำให้มีพื้นที่วางขามากกว่าปกติครับ ^^ ผมสูงแค่ 160 เซนติเมตร ดังนั้น ยืดขาได้สบายเลย จอทีวีส่วนตัวก็ยังมีทุกที่นั่งพร้อมที่ชาร์จแบตเตอรี่ครับ ส่วนอาหารที่บริการบนเครื่องก็จะเป็นการเสิร์ฟด้วยถั่วลิสงพร้อมน้ำผลไม้(หรือแอลกอฮอล์)ก่อน จากนั้นก็จะมีอาหารหลักมาให้เลือกสองอย่างครับ นั่นก็คือ Pasta กับข้าวผัดหมูทอดครับ

เมนูนี้ผมเลือกครับ เส้นแข็งไปหน่อยแต่ก็พอทานได้ครับ

เมนูนี้ของแฟนผมเองครับ ^^

ส่วนการเดินทางในไฟลท์นี้ ตัวผมก็ดูหนังได้หนึ่งเรื่องและดูสารคดีได้อีกหนึ่งตอน ก็ได้เวลาที่เครื่องบินทำการลดระดับพอดี โดยรวมถือว่า พนักงานก็บริการได้รวดเร็วดีครับ มียิ้มบ้างเล็กน้อยแต่ก็ทำงานแข็งขันและยินดีบริการทุกคน ที่สำคัญคือ ดูแลความปลอดภัยให้ผู้โดยสารได้เคร่งครัดดีครับ เรื่อง Seatbelt กับกระเป๋านี่ strict พอสมควร

ต้องบอกเพื่อนๆนิดนึงว่า ที่นั่งหน้าสุดบางทีจะได้จอทีวีที่ติดกับผนังแบบในภาพหรือไม่ก็เป็นแบบพับเก็บได้นะครับ (จะแตกต่างกันไปตามรุ่นของเครื่องบิน)

และแล้วเครื่องบินก็ได้แตะล้อที่สนามบินคันไซตอน 16:00 น. ตามเวลาประเทศญี่ปุ่นครับ พอลงจากเครื่องได้ ทุกคนก็พยายามรีบไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยเร็วที่สุด เพราะต่างก็สายกันมากแล้ว ผมเองก็รีบไปเช่นกัน...แต่พอไปถึงก็ต้องต่อคิวเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าเลยครับ! ผมก็เข้าคิวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งหลุดด่านตรวจคนเข้าเมืองและไปรับกระเป๋าที่สายพานได้ตอนเวลาประมาณ 17:30 น. แอบเหนื่อยจริงๆ ส่วนกระเป๋าเดินทางนั้น ถ้าอยู่บนสายพานนานจนกระทบเที่ยวบินอื่น เจ้าหน้าที่จะจับยกมาตั้งเรียงไว้ให้ที่พื้นครับ ดังนั้นถ้าเราออกมาช้าก็ให้มาเช็คดูข้างๆสายพานนะครับ! และหลังจากตรงนี้ก็จะเป็นการเข้าสู่การขึ้นรถไฟ Haruka เพื่อไปสถานี Shin-Osaka และเริ่มทริปซากุระต่อไปครับ 

จากนี้ผมจะข้ามเวลามาวันเดินทางกลับเลยนะครับ ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงไม่อยากกลับเมืองไทยแน่ๆ เพราะญี่ปุ่นทั้งสวย ทั้งสะอาดมีระเบียบ อาหารก็อร่อย แถมไม่แพงอีกต่างหากใช่ไหมล่ะ! แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกราครับ จบทริปนี้ก็ต้องมีทริปใหม่แน่นอน! โอทารุก็เช่นกันครับ เอาล่ะ มาเริ่มขากลับกันเลย-->หลังจากที่เดินมาถึงสนามบินคันไซแล้ว ขอให้ขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นบนสุดของอาคารได้เลยครับ เพราะชั้นนี้คือ Departure Level สำหรับ Cathay ให้มองหาเคาน์เตอร์เช็คอินที่แถว C หรือ D ได้เลยครับ จากนั้นเมื่อทำการเช็คอินและโหลดกระเป๋าแล้ว เราก็จะได้รับ Boarding Pass สองใบเหมือนขามาครับ

ภายในสนามบินคันไซ ขอเตือนเพื่อนๆ จากใจก่อนว่า "ที่นี่ไม่เหมือนสนามบินนาริตะนะครับ ใครหวังมาช็อปปิ้งดาบหน้า กรุณาซื้อมาจากในเมืองเถอะ ที่นี่ของน้อยกว่ามาก เดี๋ยวจะผิดหวังเปล่าๆ" ส่วนตัวผมเองก็ซื้อของทุกอย่างมาจากในเมืองแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่เดือดร้อนต้องไปตามล่าของฝากเพิ่มเติมครับ ก็เลยหาคาเฟ่นั่งทานสบายๆ รอเวลาขึ้นเครื่องดีกว่า 

เที่ยวบินที่ใช้ในขากลับเมืองไทย จะเป็นเที่ยวบิน CX 507 ซึ่งจะออกจากสนามบินคันไซตอน 18:00 น. และถึงสนามบินฮ่องกงเวลา 21:00 น. ขั้นตอนการออกนอกประเทศญี่ปุ่นก็เหมือนกับประเทศอื่นๆครับ สำหรับใครที่มาถึงเร็วก็สามารถนั่งเล่น Free Wi-fi ที่สนามบินคันไซได้เช่นกัน ผมก็เดินเล่นถ่ายรูปเครื่องบินตามเคยครับจนกระทั่งได้เวลาประกาศขึ้นเครื่องก็เตรียมตัว

ส่วนเที่ยวบินนี้ผมเลือกที่นั่งริมทางเดินก็ได้ตามต้องการครับ ส่วนอาหารที่บริการบนเครื่องรู้สึกไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ เป็นปลากับข้าวสวยญี่ปุ่นครับ ก็พอทานได้ แต่รสชาติจะแอบจืดๆ นิดหน่อยครับ (ต้องโรยพริกไทยช่วย) พอทานเสร็จก็ดูทีวีไปเพลินๆเหมือนขามาครับ สามชั่วโมงผ่านไปรวดเร็วเมื่อมีจอทีวี ไม่นานเครื่องก็แลนดิ้งที่ฮ่องกงอีกครั้งหนึ่งตอนเวลาสามทุ่มตรงตามกำหนดครับ!

และเมื่อมาถึงที่สนามบินฮ่องกง เราก็ต้องไปต่อที่ Transfer Desks กันอีกรอบ เพื่อเข้าสู่ Departure Hall ครับ ส่วนไฟลท์สุดท้ายของทริปนี้คือ CX 709 เครื่องออกเวลา 22:15 น. ทว่า.....เกิดปัญหา Delay อีกรอบจนได้!!! แอบเซ็งมากๆเลยครับ เพราะกว่าเครื่องจะออกได้ก็ "ห้าทุ่ม" พอขึ้นเครื่องก็มีอาหารมื้อดึกเสิร์ฟให้อีกรอบ ซึ่งมันก็คือ เจ้า Pasta ที่เสิร์ฟแบบตอนขามานั่นเอง! ผมก็ยอมทานนะ (เสียดายครับ) ส่วนที่นั่งยังเป็นแบบ 3-3-3 ผมกับแฟนได้ที่นั่งหน้าสุดเช่นเคยครับ สบายส่งท้ายจริงๆ

เป็นไงครับ ที่นั่งแถวหน้าสุด ยืดขาได้สบายแฮ

และแล้วกว่าเครื่องจะมาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิก็เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้วครับ (เกือบตี 1) ผมลงจากเครื่องแล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนการเข้าประเทศตามปกติและมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อนอนหลับพักผ่อนต่อไป เป็นอันจบทริปซากุระคันไซโดย Cathay Pacific แต่เพียงเท่านี้ครับ ^__^

สรุป

อ่านมาตั้งนาน หลายคนอาจจะกลัวเรื่องการ Delay ใช่ไหมครับ อันนี้ผมต้องบอกว่า มันแล้วแต่ดวงจริงๆ เพราะมันเกิดขึ้นได้กับทุกสายการบินครับ ทั้งนี้ผมบิน Cathay ไปหลายๆประเทศมาเกิน 5 ครั้งแล้ว ก็มีครั้งนี้นี่แหละครับที่เจอ Delay นาน แต่เที่ยวบิน Cathay อื่นที่ใช้มายังไม่เจอ Delay แบบทริปนี้ครับ แต่ในภาพรวม ผมขอบอกว่าแม้จะมีความทุลักทุเลเรื่องเที่ยวบิน Delay ไปบ้าง แต่ส่วนตัวผม "ยังรับได้ครับ" เพราะการบริการของ Cathay ไม่ได้แย่เลย ระบบ Enterrtainment ก็ดี มีทีวี มีที่ชาร์จแบตเตอรี่ให้ทุกเที่ยวบิน (มีผ้าห่มให้บริการด้วย) เจ้าหน้าที่บนเครื่องก็โอเคนะครับ ถึงจะไม่ยิ้มมากมายสไตล์สาวหมวยตะวันออกแต่ก็ไม่ใช่หน้าตึงแบบไม่รับแขกเลย สนามบินฮ่องกงก็รองรับผู้เดินทางได้เป็นอย่างดี ส่วนในอนาคต ถ้าต้องใช้บริการสายการบินนี้อีกผมก็ยินดีนะครับ!

และถ้ามีใครถามว่าให้คะแนนสายการบินในครั้งนี้เท่าไหร่ ผมขอแยกเป็นหัวข้อดังนี้ครับ (ความคิดเห็นส่วนตัว อิงจากประสบการณ์ที่ได้รับจากทริปนี้เท่านั้น) 

1. เวลาบินของไฟลท์นี้ ให้คะแนน 2.8 จาก 5 เพราะ Delay ทั้งขาไปขากลับ (ถ้าอยากได้ไฟลท์ถึงคันไซเช้าด้วยสายการบินนี้ คุณต้องออกจากกรุงเทพด้วยไฟลท์ตอน 18:50 น. หรือเร็วกว่านั้นครับ เพราะจะได้มีเวลาต่อเครื่องจากฮ่องกงไปโอซาก้ารอบไฟลท์ห้าทุ่ม ไปถึงโน่นก็เช้าตรู่พอดีครับ)

2. อาหาร ให้คะแนน 3.5 จาก 5 ครับ คือ ทานได้ แต่อาจจะไม่ได้อร่อยเลิศเลอนัก

3. Inflight Entertainment ให้คะแนน 4.5 จาก 5 คะแนน ดีมากๆเลยล่ะครับ แต่ขอหักนิดนึงเพราะหนังฝรั่งหลายๆเรื่องไม่มี Subtitles อังกฤษด้วยซ้ำ (ภาษาไทยอย่าเพิ่งหวังครับ)

4. การบริการจากเจ้าหน้าที่บนเครื่องและพนักงานภาคพื้น ให้คะแนน 4.5 จาก 5 คะแนน โดยรวมโอเคครับ อย่าไปคิดมากเลย เรื่องยิ้มน่ะ ยังไงคนไทยก็ชนะเลิศครับ--แต่เรื่อง overbooking หรือปัญหาอื่นๆ ผมยังไม่เคยเจอจากสายการบินนี้ ดังนั้นประเด็นที่ว่าสายการบินจะแก้ปัญหาอย่างไรนั้นผมจึงไม่มีความเห็นนะครับ 

5. Airport Facilities ที่ฮ่องกง ให้คะแนน 4 จาก 5 คะแนน โดยรวมถือว่า โอเคเลยล่ะครับ Free Wi-fi แถมมีตู้น้ำให้เติมด้วย ร้านรวงหรือร้านอาหารก็มีเยอะ แต่ติดที่ว่า "ของแพง" ก็เลยให้คะแนนเท่านี้พอแล้วล่ะครับ

ส่วนเรื่องสุดท้ายที่เพื่อนๆสนใจคงจะเป็นเรื่องของ "ราคา" ใช่ไหมครับ อันนี้โอทารุสรุปให้เลยก็แล้วกันว่า "ปัจจุบัน Cathay ออกโปรโมชั่นบ่อยพอสมควร ไปญี่ปุ่นหมื่นต้นๆก็มีจนถึงหมื่นปลายๆ" ถ้าสนใจและรับได้กับการต่อเครื่องที่อาจใช้เวลานาน (เกิน 3 ชั่วโมง ผมนับว่านานแล้วครับ) ก็ถือว่าเป็นสายการบินระดับโลกที่น่าจะลองใช้สักครั้งนะครับ

--ทริปนี้ผมเสียค่าเครื่องบินไป 21,700 บาทต่อคนครับ (แอบแพงนิดนึงเพราะผมบินตรงวันเช็งเม้ง+สงกรานต์พอดี มันเป็น Black-Out period ครับ)  

หวังว่ารีวีวนี้จะช่วยให้เพื่อนๆของผมเห็นภาพการบริการของ Cathay กันบ้างนะครับ จริงๆ ยังมีอีกทริปที่ผมใช้ Cathay บินไปโตเกียว ไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังครับ เพราะทริปนั้นอารมณ์คนละแบบกับทริปนี้เลยล่ะ! แล้วพบกันใหม่ครับ!

ซากุระก็ต้องสังสรรค์กันอย่างมีความสุขแบบนี้ล่ะครับ! (ถ่ายที่ปราสาท Himeji ครับ ^^)

---------------------------------------------------------------------------------

ที่มาของภาพปก http://jobsatcathaypacific.com/assets/img/cabincrew/banner_960x366_home2.jpg

ภาพแผนที่ Gate สนามบิน จาก http://www.qantas.com/img/735x410/hong-kong-4.jpg

**ภาพที่เหลือทั้งหมดที่มีลายน้ำเป็นของโอทารุ ห้ามผู้ใดนำไปใช้หรือแอบเซฟไปโดยไม่ขออนุญาตครับ

---------------------------------------------------------------------------------

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร?

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากสอบถาม --> เชิญ add friend ทาง Facebook ครับ พิมพ์คำว่า Otaru Taichou ในช่องค้นหา เดี๋ยวว่างๆ ผมจะเข้าไป add เองครับ

เกร็ดความรู้ 9 ข้อของซากุระที่หลายคนยังไม่รู้
พาเที่ยว KANAZAWA ใน 1 วันพร้อมชมซากุระ