EasyBlog

This is some blog description about this site
แนะนำ 7 เกร็ดความรู้สำหรับมือใหม่หัดเที่ยวญี่ปุ่น

สวัสดีฤดูร้อนในเมืองไทยครับทุกคน! วันนี้โอทารุขอเอาใจนักเดินทางมือใหม่ที่จะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นพิเศษด้วยการเขียนบล็อก 7 เกร็ดความรู้สำหรับมือใหม่หัดเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อเป็นการเผยแพร่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้กับมือใหม่ที่กำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นให้รับทราบและปฏิบัติกันนะครับ รับรองว่าบล็อกนี้อ่านง่าย สบายๆ และไม่ซับซ้อนจ้า

ทุกวันนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศญี่ปุ่นเนื้อหอมแค่ไหนนะครับ ก็ทุกวันนี้ชาวต่างชาติที่เดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นก็มากมายจริงๆ ชาวไทยเองก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นกันเป็นจำนวนมาก ทุกวันนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวก็เกิน 600,000 คนต่อปีเรียบร้อยและยังไม่มีท่าทีลดลงแต่ประการใด ดังนั้น ผมเห็นว่าเพื่อให้การเดินทางของเพื่อนๆโดยเฉพาะมือใหม่ทั้งหลายมีความสนุกและความเข้าใจในวัฒนธรรมหรือข้อปฏิบัติมากขึ้นก็เลยเป็นที่มาของบล็อกนี้ครับ ว่าแล้วก็เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เดี๋ยวจะอธิบายเป็นข้อๆนะขอรับ ^^

1. อยู่ญี่ปุ่นต้องรักการ "เข้าแถว" และ "ห้ามแซงคิว" 

ชัดเจนครับว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก ใครๆก็เคยเห็นภาพคนญี่ปุ่นยืนต่อแถวกลางลมหนาวหรือความร้อนเพื่อรอห้างเปิด รอทานอาหาร รอซื้อเกมออกใหม่หรือสินค้าต่างๆมากมายและเพื่อนๆก็เกิดความประทับใจใช่ไหมครับ นั่นแหละครับ พอไปญี่ปุ่น เราก็ต้องทำตามคนที่นั่น ก็คือ เราต้องเข้าแถวและรอไปเรื่อยๆจนถึงคิวของเราในทุกกรณีนะครับ กรุณา "อย่าแซงคิว" โดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างที่สุด โดยเฉพาะท่านใดที่แซงนะ ถ้าแซงเสร็จก็จะรู้สึกได้เลยว่ามีออร่าและสายตา "อาฆาต" มาจากข้างหลังคุณเป็นจำนวนมาก เผลอๆ อาจจะตกเป็นข่าวใน Social Media ของญี่ปุ่นกันด้วย ดังนั้นมือใหม่ที่จะไปญี่ปุ่นก็โปรดทราบและเตรียมการเข้าคิวด้วยนะครับ โดยเฉพาะร้านอาหารชื่อดังทั้งหลายที่เราเห็นกันตามโซเชียลแล้วแพลนกันว่าจะมากินน่ะนะ ก็ต้อง "ทำใจไว้เลยว่ายืนรอกันนานแน่" (แต่ถ้ามีระบบจองคิวอยู่แล้วก็มาตามเบอร์ที่ให้ได้)

ขอบอกเพิ่มเติมด้วยว่า เวลารอขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่น ตามชานชาลาจะมีเส้นแบ่งเป็นช่องๆให้เรายืนเข้าคิวตามนั้นด้วย ก็ขอให้ทุกคนยืนตามลำดับก่อนหลังและรักษามารยาทด้วยนะครับ 

2. การถ่ายรูปบุคคลหรือสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของล้วนต้อง "ขออนุญาต"

ต้องเข้าใจก่อนว่า คนญี่ปุ่นนั้นรักความเป็นส่วนตัวมากๆครับ และการ "แอบถ่าย" บุคคลนั้น แม้หลายครั้งภาพจะออกมาในเชิง candid ที่ดูดีมากๆ แต่ถ้าเจ้าตัวเกิดรู้ตัวว่าถูกแอบถ่ายขึ้นมาแล้วล่ะก็ "เขามีสิทธิ์เรียกตำรวจมาจับคุณในข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้นะครับ อย่าทำเป็นเล่นไป" หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของ เช่น สุนัขขนฟูน่ารักที่เราเจอในสวนสาธารณะพร้อมเจ้าของ ก็ควรบอกเจ้าของว่าขอถ่ายสักนิด ยิ่งเด็กญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักๆที่สวมหมวกเหลืองที่เราเห็นกันตามทีวีหรือภาพถ่ายเนี่ยนะ ยิ่งต้องขออนุญาตคุณครูหรือผู้ปกครองเลยนะครับ เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่า เขาจะคิดในทางร้ายว่าเราถ่ายไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการเซฟตัวเองก็ขออนุญาตเจ้าตัวนะครับ ^^

สาวน่ารักที่โกเบ ผมขออนุญาตเจ้าตัวเรียบร้อยครับ (ชูสองนิ้วยังงี้คงแอบถ่ายหรอก อิอิ)

3. กระดาษชำระที่อยู่ในห้องสุขา เอาทิ้งไปในโถส้วมได้เลย

ข้อนี้ตรงข้ามกับหลายประเทศโดยสิ้นเชิง เพราะเรามักจะเคยชินกับการใช้กระดาษชำระแล้วทิ้งลงถังขยะที่อยู่ข้างโถส้วม แต่ที่ญี่ปุ่นหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมมันไม่มีถังขยะอยู่ในห้องสุขา! คือ ผมอยากจะบอกว่า ที่ญี่ปุ่นเนี่ยกระดาษชำระที่จัดไว้ข้างๆโถส้วมนั้น เราสามารถทิ้งลงไปในโถส้วมได้เลยครับ โดนน้ำก็กระจุยแล้วและโอกาสที่ท่อจะตันมีต่ำมาก ดังนั้น ไม่ต้องกังวลและทิ้งไปได้เลย แต่ขอย้ำว่าเฉพาะกระดาษชำระที่อยู่ในสุขานะครับ ถ้าเอากระดาษชำระจากบ้านเรามาก็ต้องห่อไปทิ้งถังขยะด้านนอกอยู่ดี ยังไงก็ขอให้ระวังในจุดนี้ด้วยครับ

4. เวลาเข้าร้านอาหาร(อย่างน้อย)ต้องสั่งหนึ่งอย่างต่อหนึ่งคน

ปกติเราจะชินแบบสั่งก๋วยเตี๋ยวชามเดียวแล้วนั่งเม้าท์กันสี่คนในร้านอาหาร แต่ที่ญี่ปุ่นทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ เพราะเป็นข้อปฏิบัติอย่างหนึ่ง คือ เข้ามากี่คนก็ต้องสั่งอาหารหนึ่งอย่างต่อคนเป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมไปสัมผัสร้านอาหารมาเกือบทั่วประเทศ เราไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารแบบเดียวกันก็ได้ เช่น ถ้าเราเข้าร้านราเมง ไม่ใช่ทุกคนต้องสั่งราเมงนะครับ แต่เราสามารถสั่งเกี๊ยวซ่าหรือของทานเล่นอย่างอื่นแทนได้ครับ

ผมมาสองคนก็สั่งอาหารสองชุด ^^

อย่างไรก็ตาม ข้อนี้ไม่จำเป็นสำหรับเวลาเราไปเดินเล่นที่ตลาดปลาหรือตลาดที่ขายอาหาร (ตลาดพวกนี้จะมีที่นั่งรวมๆไว้ให้เป็นมุมๆ) นะครับ สมมุติว่าเราไปเดินตลาดปลาแล้วเราสั่งซูชิมาแค่กล่องเดียวแล้วเดินมานั่งทานกับเพื่อนๆอีกสองคนที่นั่งรออยู่ อย่างนี้ไม่เป็นไรครับ 

5. มาก่อนเวลาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถไฟ ร้านอาหารหรือแม้กระทั่ง "นัดเดต"

ที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องมาก่อนเวลาเสมอ ในส่วนของการท่องเที่ยวนั้น ผมขอย้ำเรื่องการเดินทางมาที่สถานีรถไฟหรือรถบัสเป็นพิเศษ สมมุติว่าเราซื้อตั๋วรถไฟแล้วมีกำหนดรถออกตอน 11 โมงตรง ผมขอแนะนำให้เรามาที่สถานีรถไฟ(หรือท่ารถบัส)ตั้งแต่เวลา 10:30 น. ครับ เพื่อเข้ามาหาชานชาลาหรือซื้อของ+มีเวลาลากกระเป๋าก่อนขึ้นรถไฟนั่นเอง อีกเหตุผลที่หลายคนยังไม่ไม่เข้าใจก็คือ บางสถานีรถไฟหรือรถบัสนั้น มีขนาดใหญ่มากนะครับ โดยเฉพาะที่สถานีชินจูกุหรือสถานีโตเกียว ขอประทานโทษ คนญี่ปุ่นเองบางคนยังหลงเลยครับ นับประสาอะไรกับคนต่างชาติอย่างเราที่มาเที่ยวไม่นานและต้องมานั่งคลำทางหาชานชาลา ดังนั้น การมาถึงก่อนเวลาเพื่อหาทางหรือซื้อของต่างๆ จึงนับเป็นการเตรียมตัวที่ดีและป้องกันการตกรถครับ 

กรณีที่เรานัดร้านอาหารว่าจะมาตอนกี่โมงก็ควรมาก่อนเวลาสักหน่อย เพื่อเตรียมตัวเข้าร้านเพราะพอถึงเวลาปุ๊บ พนักงานมักจะเรียกคิวของคุณทันทีและหากคุณไม่ปรากฏตัวเพื่อแจ้งชื่อตรงนั้น คิวของคุณก็จะเป็นโมฆะทันที และยิ่งถ้ามาในนามบริษัทหรือให้เพื่อนในญี่ปุ่นจองให้แล้วเราไม่ไปนะ คนจองจะเสียชื่อมากๆ ส่วนบริษัทก็จะเสียชื่อเสียงถึงขนาดขึ้น blacklist ของร้านก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะครับ ไม่ใช่เรื่อง joke ในวงเหล้านะครับ!

สำหรับหนุ่มสาวที่มีนัดเดตกับคนญี่ปุุ่น ก่อนอื่นผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ (เพราะอิจฉา) อยากมีสาวญี่ปุ่นไว้ควงบ้าง 555 คือจะบอกว่า ต้องมาคอยก่อนเวลานัดหมายนะครับ เพราะถ้ามาสายตั้งแต่แรกพบเจอกัน มันคงไม่ใช่ first impression ที่ดีเท่าไหร่ ถูกไหมล่ะครับ

6. โรงแรมที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ขนาดห้องไม่เท่ากันแม้จะประเภทห้องเดียวกันและค่อนข้างเล็ก

เป็นปัญหา classic ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่หลายคน "แทบรับไม่ได้" กับขนาดห้องที่หลายคนตีตราว่า แคบเท่ารูหนู เพราะความเคยชินจากหลายๆประเทศรวมทั้งบ้านเราที่ห้องมักจะใหญ่จนหลายที่วิ่งไล่จับลูกหลานในห้องกันได้เลยทีเดียว อันนี้ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า ประเทศญี่ปุ่นเล็กกว่าไทยเกือบๆเท่าตัวและพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ดังนั้นที่ดินจึงมีราคาแพงและเจ้าของที่ดิน (ก็เจ้าของโรงแรมนั่นแหละ) ก็ต้องพยายามซอยห้องให้มีเยอะและคุ้มค่ากับการลงทุนที่เสียไปอ่ะนะ ดังนั้น ขนาดห้องพักในโรงแรมของญี่ปุ่นแบบทั่วไปจึงมีขนาดเฉลี่ยที่ราวๆ 9-14 ตารางเมตรเท่านั้น!!! อันนี้ก็ต้องทำใจนิดนึงนะครับ ยอมรับว่าเล็กจริงๆ แต่ก็ขอบอกว่าหลายๆโรงแรมที่ทยอยเปิดใหม่ก็เข้าใจปัญหานี้และก็พยายามขยายพื้นที่ห้องให้ดูโปร่งและกว้างขวางขึ้นแล้วครับ ทำให้ทุกวันนี้ขนาดห้องในโรงแรมที่สร้างใหม่ก็ดีขึ้นมาหน่อยที่ราวๆ 14-18 ตารางเมตรแล้ว (ยกเว้นบางเครือที่เป็นแนว Business Hotel ก็ยังเล็กๆอยู่) ยังไงเวลาจะจองโรงแรมก็พยายามเลือกเว็บไซต์ที่สามารถระบุขนาดห้องพักให้ทราบด้วยก็แล้วกันนะครับ เราจะได้มีข้อมูลและไม่ตกใจเมื่อเปิดประตูห้องพักของตัวเองยังไงล่ะ

ห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในโตเกียว (Single Room) ขนาด 11 ตารางเมตร ถามใจตัวเองเถอะว่าเล็กไหม!? (แต่ผมรับได้ครับ)

อีกปัญหาที่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจก็คือ แม้ประเภทของห้องพักในโรงแรมจะประเภทเดียวกันแต่ขนาดห้องก็ต่างกัน ยกตัวอย่างง่ายๆเลยครับ สมมุติโรงแรม YY มีห้องประเภท Deluxe แต่มีแบบเตียงใหญ่ (Double) กับเตียงคู่ (Twin) ให้เลือก...เชื่อไหมครับว่า ห้องแบบ Twin จะมีขนาดใหญ่กว่า Double ซะเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆที่ห้องก็ประเภท Deluxe เหมือนกัน แต่ขนาดห้องที่ว่าใหญ่กว่าก็มักจะมีราคาที่สูงกว่าด้วยนะครับ ดังนั้นก็ต้องดูงบประมาณในกระเป๋าตัวเองด้วยล่ะครับว่าสะดวกแบบไหน

ทั้งนี้ กฎดังกล่าวก็ไม่ใช่ว่าทุกโรงแรมจะเป็นนะครับ อย่างพวกโรงแรม 5 ดาวหรือโรงแรมเครือระดับโลก พวก Hilton, Sheraton, Nikko, Ogura, Intercontinental ห้องพักที่ผมว่ามานั้น ก็มักจะมีขนาดใหญ่อยู่แล้ว การเลือกห้องแบบ Double หรือ Twin บางครั้งก็อาจจะได้พื้นที่ห้องและราคาที่เท่ากันครับ ดังนั้นการตรวจสอบราคาและพื้นที่ห้องให้ถี่ถ้วนก่อนจองก็ถือเป็นการดีที่สุดล่ะครับ

7. ไม่ใช่ทุกวัดหรือทุกสวนสาธารณะที่เข้าฟรี

ในความคิดของเรา หลายๆครั้งตามสถานที่ที่เรานิยมเข้าไปชม เช่น วัด หรือสวนสาธารณะ บางที่นั้น ต้องขอบอกว่า "เก็บตังค์ค่าเข้า" นะครับ ไม่ใช่เดินดุ่มๆเข้าไปได้เลย โดยเฉพาะวัดดังในเกียวโตหลายแห่งนี่เก็บยิบย่อยมาก เพื่อนๆที่เป็นสายประหยัดก็อาจจะต้องค้นคว้าค่าเข้าวัดเหล่านี้กันก่อนเพราะบางทีอาจจะบานปลายได้ ยิ่งช่วงไหนที่มีซากุระบานหรือใบไม้เปลี่ยนสี บางที่ก็จะเก็บค่าเข้าชมเพิ่มเติมอีกต่างหากเป็นพิเศษ ดังนั้น "ทำการบ้าน" ให้ดีก่อนมาเพื่อรักษาทรัพย์ของเราไว้ให้อยู่ในวิสัยที่คุมได้นะครับ

วัดทอง (คินคาคุจิ) ที่เกียวโต คิดค่าเข้าประมาณ 120 บาทครับ

สำหรับสวนสาธารณะบางแห่งก็เช่นกัน อย่าไปคิดว่าจะเดินเข้าไปฟรีๆได้ทุกที่นะครับ บางสวนสาธารณะก็จะมีด่านเก็บเงินหน้าประตูเลย เช่น สวน Shinjuku Gyo-en ในโตเกียวที่เก็บค่าเข้า คนละ 200 เยน เป็นต้น อันนี้ก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละคนแล้วล่ะว่าจะจ่ายไหม

และทั้งหมดที่โอทารุได้เขียนมานี้ก็เป็นเกร็ดความรู้เจ็ดข้อที่ผมคิดว่ามือใหม่ควรทราบไว้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ ทั้งนี้หากมีอะไรสงสัยก็สามารถติดต่อผมได้ตามช่องทางติดต่อด้านล่างสุด แล้วพบกันใหม่กับสาระดีๆเกี่ยวกับญี่ปุ่นจากโอทารุในสัปดาห์หน้านะคร้าบบบบ

--------------------------------------------------- 

ภาพปกจาก https://travelingportals.com/things-to-know-about-japanese-culture/

ภาพสาวญี่ปุ่นสองคนจาก https://www.spinjapan.net/7-facts-that-japanese-women-love-a-trip-with-female-friends/

ภาพที่เหลือจากกล้องของโอทารุ มีการลงลายน้ำไว้หมดแล้ว ใครจะเอาเซฟไปใช้งานกรุณ่ขออนุญาตก่อนนะครับ!!!

--------------------------------------------------- 

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร

เพื่อนๆสามารถร่วมพูดคุยหรือสอบถามเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับผมได้ด้วยการพิมพ์ชื่อ Otaru Taichou ในช่องค้นหาของ Facebook แล้วกดเพิ่มเพื่อนครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปกดตกลงเองครับ!

Update ข่าวการซ่อมแซมปราสาทคุมาโมโต้จากเหตุแผ่นดิน...
สายเที่ยวประหยัดเซ็ง! ญี่ปุ่นเตรียมเก็บ Sayonara T...