EasyBlog

This is some blog description about this site
พาเที่ยวชิราคาวาโกะยามหิมะตกหน้าหนาว

ช่วงนี้ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ฤดูหนาวเรียบร้อยแล้วนะครับ หิมะก็เริ่มตกในหลายพื้นที่ของเกาะฮอนชูแล้ว และหนึ่งสถานที่ที่ผมเชื่อว่ามีคนเตรียมไปเที่ยวมากที่สุดก็คือ หมู่บ้านชาวนาชิราคาวาโกะ (Shirakawago) อย่างแน่นอน ตัวผมเองก็เคยไปเที่ยวมาแล้วถึงสองครั้งด้วยกัน ดังนั้น จึงขอถ่ายทอดวิธีการเดินทางและพาชมหมู่บ้านแสนงามแห่งนี้ให้เพื่อนๆได้ใช้เป็นข้อมูลเวลาไปเที่ยวกันดีกว่า ว่าแล้วก็เชิญคลิกอ่านได้จ้า!

ก่อนอื่นผมขอพูดถึงที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งนี้กันสักนิดว่าอยู่ตรงไหนของประเทศ เพื่อนๆผู้อ่านจะได้รู้จักกัน ผมเองอยากให้เพื่อนๆศึกษาตำแหน่งของที่เที่ยวต่างๆเบื้องต้นนะครับ เพราะหากเราไม่เข้าใจตำแหน่งที่ตั้งสถานที่ต่างๆ คำถามพวกนี้ก็จะมีตามมาอยู่เสมอ เช่น "เกียวโตไปโตเกียวอยู่ห่างกันแค่นั่งรถไฟชั่วโมงเดียวไม่ใช่เหรอคะ เห็นว่าใกล้".....O_O หรือ "เราอยู่ซัปโปโรเดี๋ยวนั่งชินคันเซนมาเจอกันที่โอซาก้าก็ได้แค่สี่ชั่วโมงเอง"...เอ่อ นี่แหละครับ ผมถึงบอกว่าเรื่องที่ตั้งน่ะ ควรศึกษาค้นคว้าก่อนไปเที่ยวบ้างนะครับ เอาล่ะ เข้าเรื่อง

ที่ตั้งและความเป็นมา

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ และถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงเป็นจำนวนมากทำให้บริเวณนี้มีหิมะตกเป็นจำนวนมาก สำหรับเมืองใหญ่ที่นักท่องเที่ยวรู้จักและมักใช้เป็นที่พักแรมก่อนเดินทางมาชมที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ เมืองทาคายาม่าและเมืองคานาซาว่า เนื่องจากมีระบบรถไฟที่เดินทางสะดวกและสามารถต่อไปเมืองใหญ่ๆอื่นๆได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งนี้ ขอเตือนไว้ก่อนว่า "ปัจจุบันการเข้าถึงหมู่บ้านแห่งนี้จะต้องนั่งรถบัสไม่ก็เช่ารถยนต์มานะครับ รถไฟยังมาไม่ถึงจ้า"

สำหรับอดีตของชิราคาวาโกะนั้นถือว่ามีมาหลายร้อยปีตั้งแต่ยุคสมัยของซามูไรโดยชาวบ้านในสมัยก่อนมักจะทำอาชีพเกษตรกรรมและอยู่กันอย่างเรียบง่ายโดยมีเจ้าเมืองคอยดูแลพื้นที่ด้วยครับ (เนื่องจากมีการขุดพบซากปราสาทในแถบหมู่บ้านนั่นเอง) นอกจากนี้ชิราคาวาโกะเพิ่งจะได้รับการบุกเบิกอย่างจริงจังก็หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโน่นแหละ แต่ก็ถือว่าหมู่บ้านในแถบนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไว้ได้เป็นอย่างดีจนกระทั่ง UNESCO ประกาศให้หมู่บ้านในแถบนี้ได้รับการบรรจุเป็นมรดกโลกในปี 1995 ครับ (และก็โด่งดังมาจนทุกวันนี้ไงล่ะ)

จริงๆแล้ว ต้องบอกผู้อ่านให้เข้าใจตรงนี้อีกสักหน่อยว่า ที่เราเรียกกันว่า ชิราคาวาโกะเนี่ย จริงๆ มันมีสามหมู่บ้านที่เป๋็นสไตล์เดียวกันนะครับ แต่คนส่วนใหญ่จะคิดว่ามีที่เดียวเพราะตามสื่อต่างๆมันก็โปรโมทหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดนั่นแหละ ซึ่งหมู่บ้านที่ผ่านตาทุกท่านเป็นประจำ จะมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า หมู่บ้าน Ogimachi ส่วนอีกสองหมู่บ้านก็คือ Ainokura และ Suganuma ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและไม่โด่งดังเท่าหมู่บ้านแรกครับ

ที่ต้องบอกให้รู้เพราะว่าตารางรถบัสบางสาย เขาจะเขียนว่า Shirakawago (Ogimachi Village) ครับ ใครมาเที่ยวจะได้ไม่เกาหัวแกรกๆว่ามันคืออะไร ใช่ที่เดียวกับที่ฉันจะไปหรือเปล่า! และต่อจากนี้ไปผมขอเน้นว่า ผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวหมู่บ้าน Ogimachi ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ฮิตที่สุดนะครับ ไม่ได้พาไปสามที่ อย่าสับสน!!!

เริ่มพาเที่ยว

สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ผมเริ่มตั้งแต่การขึ้นรถไฟที่สถานี JR นาโงย่า ด้วยรถไฟด่วนพิเศษจำกัดความเร็ว (Limited Express) นามว่า Hida Wide View โดยจะใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นราวๆ 2 ชั่วโมง 20 นาทีครับ (รถไฟแต่ละรอบอาจใช้เวลาต่างกันเล็กน้อย เพราะต้องสับหลีกระบบรางให้รถไฟขบวนอื่นๆครับ)

ภายในรถไฟขบวนนี้ก็กว้างขวางและนั่งสบาย มีที่วางกระเป๋าสัมภาระอยู่หลังเบาะแถวสุดท้ายด้วยครับ แต่ด้านบนรถไฟไม่มีอาหารขายนะครับ ใครหิวขอแนะนำให้ซื้อข้าวกล่องหรืออาหารว่าง/น้ำมาทานบนรถไปเลย ไม่งั้นได้ทนหิวกันยาวๆครับ! ส่วนเส้นทางรถไฟที่วิ่งนั้นจะเริ่มจากสถานีนาโงย่าแล้วมุ่งหน้าสู่สถานีกิฟุก่อนจะมุ่งหน้าสู่สถานี Mino-ota ก่อนผ่านสถานี Gero และสิ้นสุดที่สถานี Takayama ครับ (แต่รถไฟบางขบวนอาจวิ่งยาวไปถึง Toyama เลย)

วิวสองข้างทางนั้นจะเป็นวิวเมืองแล้วก็จะเข้าสู่เขตป่าพร้อมกับทิวทัศน์หุบเขาครับ และเมื่อยิ่งรถไฟแล่นเข้าไปลึกถึงใจกลางหุบเขาเท่าไหร่ ก็จะเจอหิมะ!!! สุดท้ายพอไปถึงทาคายาม่า ผมเองก็รีบลากกระเป๋าเพื่อเข้าเช็คอินและออกมาเดินหาอาหารเย็นทานครับ ซึ่งตอนที่ไปถึงนั้นจริงๆ แค่ประมาณ 6 โมงเย็นเท่านั้นเองแต่ด้วยความที่เป็นฤดูหนาวก็ทำให้พระอาทิตย์ตกตั้งแต่สี่โมงครึ่งแล้วล่ะครับ ดังนั้นเพื่อนๆที่มาช่วงนี้ก็ต้องเผื่อเวลาเที่ยวกันหน่อย ยิ่งออกจากที่พักสาย แสงยิ่งน้อยนะ!!

คืนนี้ผมฝากท้องไว้กับร้านอาหารแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าเมนูเด็ดของวันนี้ก็คือ เนื้อวัวฮิดะอันลือชือครับ ขอไม่บรรยายนะ ดูภาพประกอบเอาครับ!!! 

และเมื่อทานอาหารเย็นเรียบร้อยพอออกจากร้านอาหาร หิมะก็ตกลงมาแบบเริ่มหนักพอดี งานนี้ผมยกกล้องกดไม่ยั้งเลยครับ เพราะนี่เป็นหิมะแรกที่ผมได้สัมผัสที่ญี่ปุ่น ดีใจมากๆที่ตกตอนนี้ 555 แถมผมได้ไปเดิน Sanmachi ตอนไม่มีคนด้วยนะ เงียบมากกกกกกกกกก แต่ก็ถ่ายรูปได้อย่างสบายเพราะปลอดคนครับ ใครมีขาตั้งด้วยก็ลองมาถ่ายกลางหิมะดูนะ น่าจะให้อารมณ์อีกแบบครับ สำหรับคืนนี้ผมก็กลับไปที่พักซึ่งเป็นเรียวกังระดับสี่ดาวที่อยู่ไม่ไกลจากท่ารถบัสเท่าไหร่ ไว้พรุ่งนี้เช้าจะมาเล่าต่อครับ เพราะรถบัสจะออกตอน 08:20 น. ขอตัวไปนอนก่อนน๊าาาา

มุ่งหน้าสู่ชิราคาวาโกะ

ในตอนเช้า หลังจากที่งัวเงียออกมาจากที่พัก ผมก็เดินฝ่าหิมะเล็กๆมาขึ้นรถที่ท่ารถ Nohi Bus ซึ่งถือเป็นท่ารถบัสที่โด่งดังมากในหมู่เพื่อนๆชาวไทยครับ เพราะมันสามารถเดินทางไปที่อื่นต่อได้ด้วย เช่น คานาซาว่า โทยาม่า เกโระออนเซน ชินโฮทากะ หรือใครจะยิงยาวกลับนาโงย่า โตเกียว โอซาก้า ก็ทำได้เหมือนกันครับ ^^

สำหรับเพื่อนๆที่มุ่งหน้าไปชิราคาวาโกะ ขอให้ไปขึ้นรถบัสที่ท่ารถหมายเลข 4 (สี่) ใครที่ยังไม่มีตั๋วรถบัสหรือซื้อตั๋วแบบรอบรถที่ไม่ใช่จอง ควรมาก่อนเวลารถออกอย่างต่ำ 20 นาทีนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวเยอะขึ้น ถ้าคุณมาช้าก็อาจจะไม่ได้ขึ้นรอบที่ต้องการ เดี๋ยวแผนเที่ยวจะรวนนะ ผมเตือนแล้ว!

ส่วนของโอทารุ บอกเลยครับ ผมมีตั๋วรถบัสและจองที่นั่งเสร็จสรรพตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะมีที่เอาหน้างานหรือเปล่า -->ก็เดี๋ยวนี้ตั๋วรถบัสเราจ่าย+จอง Online ได้แล้วอ่ะสิครับ!!! แต่ต้องมีบัตรเครดิตนะ คือจ่ายเสร็จจะได้ตั๋วออกมาเลย ก็ Print ใบที่ระบบของเว็บไซต์ส่งมาให้นั่นแหละ แล้วเอาไปยื่นกับคนขับรถบัสเลย ชีวิตง่ายขึ้นเยอะมาก แถมราคาตั๋วก็ไม่มีชาร์จเพิ่มไรอีก ส่วนใครจะยกเลิกก็เสียค่าธรรมเนียมเพียง 100 เยนต่อรายการเท่านั้น นับว่าสะดวกสบายมากๆครับ! 

รถบัสจะใช้เวลาวิ่งประมาณ 50 นาทีครับ สองข้างทางก็จะเป็นวิวภูเขาและอุโมงค์ ซึ่งตอนแรกๆก็อาจจะยังไม่มีหิมะเท่าไหร่ แต่พอรถวิ่งไปได้สักครึ่งชั่วโมง โอ้ว! ถ้าใครยังไม่เคยเห็นหิมะหนาๆ รับรอง ตื่นเต้นแน่ครับ เพราะสองข้างทางนี่หิมะจับตัวหนากันมากๆ และนี่ก็เป็นเครื่องหมายยืนยันได้ว่าวันนี้แถวชิราคาวาโกะยังมีหิมะอยู่แน่นอน!!

ใช้เวลาอีกไม่นานรถบัสก็จะมาจอดที่ท่ารถ Nohi Bus ที่ชิราคาวาโกะแล้ว วันนี้ผมว่าผมโชคดีมากๆเลยล่ะ เพราะหิมะกำลังตกอยู่!! แถมเท่าที่กะดูก็ราวๆหนึ่งฟุตกว่าด้วย กำลังดีเลยล่ะ ลุยได้และยังสามารถปั้นหิมะปาเล่นได้ด้วยนะ 555 จากนั้นผมก็เข้าไปที่ท่ารถบัสและซื้อตั๋วขากลับไว้ก่อน แบบ Non-reserved คือ มาก่อนได้นั่งก่อนนั่นแหละ

ทีนี้ถ้ามีคนถามว่า ทำไมผมไม่จองขากลับล่ะ ทีขามายังจองเลย? ผมตอบให้เลยครับว่า "ผมกะตัวเองไม่ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการชมหมู่บ้าน เพราะผมใช้เวลาเดินเที่ยวกับถ่ายรูปนานมากกกก ถ้าจองที่นั่งแล้วเหมือนมันบีบเวลาตัวเองให้เร่งๆๆ เดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก เรามาเที่ยวเอง ไม่ต้องแคร์ใคร จะรีบเพื่อ? อีกอย่างคืนนี้ก็นอนทาคายาม่าอีกคืน ไม่ได้ต่อรถไฟกลับนาโงย่า ดังนั้นผมจึงขอ Slow life หน่อยนะ"

เริ่มต้นกันที่หน้าหมู่บ้าน Ogimachi กันก่อนเลยเนอะ (ลืมยังว่าทำไมชื่อนี้ ถ้าลืมไปแล้ว ขึ้นไปอ่านหัวข้อความเป็นมานะครับ) ตอนนี้หิมะก็ขาวโพลนไปทั้งหมู่บ้านแล้วล่ะ แถมมีบางช่วงที่ฟ้าเปิดนิดนึง บรรยากาศไม่ได้เป็นสีเทาตลอด โชคดีมากๆครับ ผมก็เดินไปหน้าบ้านวาดะก่อน (Wada House) ซึ่งตอนนี้บ่อน้ำตรงหน้าก็กลายเป็นหิมะและแข็งอยู่หน่อยๆด้วย ใครอยากถ่ายตรงนี้ก็จัดโลด 

จากนั้นผมก็เดินถ่ายรูปแถวนั้นแล้วรอรถบัสที่จะพาเราขึ้นเขาไปจุดชมวิวครับ (ชื่อจุดชมวิวชิโระยามะ) บอกก่อนว่า "ไม่ได้ขึ้นฟรีนะ เสียคนละ 200 เยนต่อเที่ยว สรุปคือ ทั้งไปกลับเสีย 400 เยนนั่นแหละ จ่ายแยกทีละขาและให้ธนบัตรได้คนขับมีทอนครับ" โดยเราจะใช้เวลานั่งรถกันประมาณ 10 นาทีเท่านั้นครับ ไวมากๆ สำหรับด้านบนจุดชมวิวนั้น รถบัสจะมาจอดห่างจากจุดชมวิวนิดหน่อย ก็ให้เดินไปตรงที่มีอาคารใหญ่ๆตั้งอยู่ครับ ตรงนั้นแหละคือจุดชมวิว ด้านในอาคารแห่งนี้มีขายของว่างและมีห้องน้ำให้เข้าฟรี ส่วนใครอยากจะถ่ายรูป "มุมมหาชน" ก็ต่อคิวกันครับ 

จะบอกว่าเดี๋ยวนี้คนไทยคงไปกันเยอะมาก มากจน "ช่างภาพคนญี่ปุ่นพูดภาษาไทยแบบเบสิคได้แล้วนะ ผมนี่อึ้งเลย เก่งจริงๆ" โดยจุดชมวิวนี้จะแบ่งเป็นสองเส้นครับ คือ แถวซ้ายเป็นมุมที่ดีกว่า จะมีช่างภาพคนญี่ปุ่นถ่ายรูปให้ (ถ้ารูปถูกใจ ก็ซื้อได้) หรือคุณจะให้เขาถ่ายรูปจากกล้องคุณเองก็ได้ครับ ผมเห็นนักท่องเที่ยวทำแบบนั้นกันเยอะมาก เอาตรงๆคือ ส่วนใหญ่ไม่ซื้อหรอก แค่ขอช่างภาพถ่ายรูปให้ด้วยกล้องตัวเองครับ สำหรับแถวขวา ตอนผมไปยืนคอยที่ตอนแรกเหมือนไม่ใช่แถวเพราะหิมะมันจมหนา เจ้าหน้าที่ต้องเอาพลั่วมาตักหิมะออกจนได้ที่ยืนโล่งๆ แล้วก็ต่อคิวถ่ายภาพได้ ผมเองก็อยู่แถวขวานี่ล่ะครับ คิวมันน้อยกว่าอ่ะนะ สุดท้ายก็ได้ภาพมุมสูงยามหิมะตกสมใจ ^^

เมื่อถ่ายภาพจนพอใจแล้วก็นั่งรถบัสลงมาด้านล่างครับ รถบัสจะมาจอดตรงป้ายเดิมที่หน้าบ้านวาดะ จากนั้นผม็เดินไปที่ถนนหลักของหมู่บ้านแล้วหาซาลาเปาเนื้อฮิดะทานเอาแรงกันหน่อย อร่อยมากๆ ในราคาแค่ 450 เยนเท่านั้น เอ้า! ดูผลงานได้ว่าของเขาดีจริง

ทานเสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจหมู่บ้านบนถนนหลักกันต่อครับ ถนนนี้ถ้าเดินเป็นเส้นตรงก็จะไปโผล่ที่ท้ายหมู่บ้านได้เลย ผมเองก็เดินไปที่ท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า Shirakawa Hachiman ครับ บริเวณนี้หิมะตกสะสมเยอะมากๆจนผมต้องกดชัตเตอร์รัวๆเลยล่ะ

เสร็จจากศาลเจ้าผมก็เดินไปที่วัดเมียวเซนจิ เพื่อชมความงามด้านในของบ้านสามเหลี่ยมสไตล์กัชโชสุคุริที่โด่งดังครับ ที่ต้องทำหลังคาชันแบบนี้ก็เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านนะ เพราะพื้นที่แถบนี้หิมะตกหนักมากๆ ถ้าทำหลังคาลาดๆ หิมะที่ตกมามากๆก็จะหนักแล้วมันจะได้ไหลลงมาเองตามความลาดชันของหลังคาไงครับ (ถ้าสร้างแบบหลังคาแบบเรียบๆ พอหิมะตกมามากๆก็จะหนักขึ้น สุดท้ายหลังคาอาจถล่มลงมาไงครับ) ส่วนวัสดุก็ทำจากธรรมชาติล้วนๆ และต้องเปลี่ยนทุก 20 ปีครับ!

ด้านในวัดเมียวเซนจิ เราจะได้เห็นว่าข้างในบ้านทรงสามเหลี่ยมนี้ ใหญ่มากและมีหลายชั้นมากๆ มองด้วยตาเหมือนมีแค่สองชั้น โอ้ว ไปนับใหม่ได้เลยครับเพื่อนๆ ภูมิปัญญาชาวบ้านที่นี่น่านับถือมากจริงๆ เอารูปไปดูพอหอมปากหอมคอเนอะ 

ด้านบนของวัดแห่งนี้ก็สามารถชมวิวมุมสูงของหมู่บ้านได้เช่นกัน บอกเลยว่า สวยงามจริงๆ ครับ จากนั้นที่ชั้นล่างก็จะมีทางเดินที่เชื่อมต่อไปที่อุโบสถภายในวัดได้ครับ ด้านในก็สามารถไหว้พระพุทธรูปสไตล์ญี่ปุ่นได้ด้วย แถมมีห้องนึงเขามีเตาอุ่นๆให้เรานั่งคลายหนาวด้วยนะ

พอออกจากวัดแล้วผมก็เดินออกมาที่ถนนเส้นหลังแล้วเดินเลาะบ้านสไตล์กัชโชสุคุริอีกมากมายซึ่งบ้านเหล่านี้หลายๆแห่งก็เปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกบ้าง ขายอาหารว่างบ้าง นักท่องเที่ยวอย่างเราก็สามารถมานั่งพักหรือซื้อของที่ระลึกกันได้ครับ ขอบอกเลยว่า บางชิ้นมีขายเฉพาะในหมู่บ้าน ดังนั้น ถ้าถูกใจอะไร ซื้อเถอะครับ ที่ญี่ปุ่นไม่เหมือนหลายๆประเทศนะ ของหลายๆอย่างจะขายในพื้นที่ตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มีเป็น One stop service แบบบางประเทศนะครับ อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวไปซื้อเอาเมืองหน้าก็ได้...แล้วจะเสียใจครับถ้าคิดแบบนั้น ผมเองก็เจอมาแล้วล่ะ

จากจุดนี้ผมก็เดินเล่นต่อ ผ่านบ้านคันดะ (Kanda House) แล้วก็เดินออกไปทางด้านหลังหมู่บ้านเพื่อเข้าสู่ถนนเล็กๆที่วนไปตรงที่ขึ้นรถบัสไปจุดชมวิวเมื่อเช้าก่อนที่จะเดินกลับไปรอรถบัสที่ท่ารถ Nohi Bus ครับ ซึ่งก็ขอแนะนำว่า ในวันที่คนเยอะๆ (โดยเฉพาะฤดูหนาวแบบนี้) ให้มาเข้าคิวก่อนรถออกสัก 30 นาทีจะดีมาก เพราะคนเยอะมากจริงๆ และรถออกตรงเวลาครับ

ใครจะกลับทาคายาม่าแบบผม ให้ไปคอยที่ท่ารถเบอร์ 3 (สาม) วันนั้นผมขึ้นรอบ 15:15 น. ปรากฎว่าคนเยอะมากกกกกก มากจนรถบัสคันเดียวไม่พอ สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ของรถบัสก็ติดต่อให้ทีมงานนำรถบัสเสริมมารับนักท่องเที่ยวที่ตกค้างอยู่อีกคันครับ ซึ่งทุกคนก็ได้ขึ้นรถนั่นแหละ แถมออกตรงเวลาด้วย นับถือคนญี่ปุ่นจริงๆ!

นี่ไงครับ รถเสริม

ขากลับก็จะใช้เส้นทางเดียวกับตอนขามา ใครใคร่หลับก็หลับครับ ส่วนโอทารุก็นั่งถ่ายรูปหิมะผ่านหน้าต่างรถบัสไปเรื่อยจนกระทั่งรถบัสกลับมาจอดที่ท่ารถ Nohi Bus ในทาคายาม่าอย่างปลอดภัยครับ!!!

ส่งท้ายก่อนกลับ

เมื่อรถบัสมาถึงทาคายาม่า ก็ถือว่าจบการพาเที่ยวชิราคาวาโกะแล้วครับ ตัวผมเองก็กลับไปพักผ่อนที่เรียวกังอีกหนึ่งคืน ส่วนเพื่อนๆที่มีรถไฟต้องต่อเพื่อกลับนาโงย่าก็อย่าลืมไปขึ้นรถไฟให้ทันเวลานะครับ หรือเพื่อนๆที่จะเดินทางไปเมืองอื่นๆต่อก็ขอให้เผื่อเวลาเดินทางด้วย อย่าชะล่าใจว่ารถสาธารณะจะรอเรานะครับ เพราะที่ญี่ปุ่นการตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญมากครับ 

ทั้งนี้ ขอฝากไว้สักนิดว่า จริงๆแล้วชิราคาวาโกะรอต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดปีนะครับ แต่ช่วงหน้าหนาวจะมีความคึกคักเป็นพิเศษเพราะเขาจะมีเปิด Light up ตอนกลางคืนด้วยล่ะ (จัดทีไร คนทะลักหมู่บ้านทุกที) หากใครมีโอกาสก็แนะนำให้ลองนอนในบ้านสไตล์กัชโชสุคุริสักหนึ่งคืนนะครับ เชื่อว่าจะต้องเป็นประสบการณ์ที่วิเศษมากแน่ๆ ผมเองก็ต้องหาโอกาสกลับไปแก้มือที่นี่อีกครั้งให้ได้เหมือนกัน ^^ สำหรับบล็อกพาเที่ยวชิราคาวาโกะนี้ผมก็ขอจบเนื้อหาเพียงเท่านี้ครับ ไว้พบกันใหม่ในบล็อกหน้ากับ Otaru Taichou พาเที่ยวคร้าบบบ

---------------------------------------------------------------------

ภาพปกจาก http://new-cloudfront.zekkei-japan.jp/images/spots/2ca17e297ec59c78eb977761f2271cec.jpg

ภาพที่เหลือที่มีลายน้ำ เป็นภาพจากกล้องของโอทารุทั้งหมด ห้ามผู้ใดนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตครับ

---------------------------------------------------------------------

แถมพิเศษ!

สำหรับเพื่อนๆผู้อ่านที่รู้สึกว่า หมู่บ้านนี้มันไปยากไปเย็นจัง หรือไม่อยากจัดการเรื่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเอง หรือมีผู้สูงอายุ/เด็กที่ต้องมานั่งดูแลจนไม่สามารถจัดการแผนเที่ยว ตลอดจนต้องการเวลาอิสระแต่ก็ไม่อยากไปกับทัวร์กลุ่มใหญ่ ผมขอแนะนำ บริษัททัวร์ I Love Japan Tours ให้เพื่อนๆได้รู้จักครับ บริษัทนี้เชี่ยวชาญการจัดทัวร์แบบส่วนตัว คือ กรุ๊ปใครกรุ๊ปมัน ไม่มีการจับครอบครัวเราไป Join กับคนอื่นหรือทัวร์อื่นเด็ดขาด ที่สำคัญ เขาพาเที่ยวตามเส้นทางที่แปลกใหม่หรือตัวผู้อ่านจะลด/เพิ่มที่เที่ยวก็ได้ตามใจชอบ หากใครสนใจก็คลิกที่ Link นี้แล้วลองติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทดูนะครับ www.ilovejapantours.com/th

---------------------------------------------------------------------

ติดต่อผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร

เพื่อนๆที่ต้องการพูดคุยเรื่องท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับผม ให้พิมพ์ชื่อ Otaru Taichou ลงในช่องค้นหาแล้วก็ขอเป็นเพื่อนครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปกดรับเองครับ ^^

ครูสาวแดนจิงโจ้ถูกจับในข้อหาทำ JR PASS ปลอมที่ญี่ป...
รีวิว Country Hotel Takayama : ที่พักทำเลดี(เดิน) ...