EasyBlog

This is some blog description about this site
พาขึ้น Tokyo Skytree หอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น

สวัสดีครับ ในสัปดาห์นี้โอทารุจะขอรีวิวแบบสบายๆกับการพาเพื่อนๆทุกคนขึ้นไปชม Tokyo Skytree ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นครับ!

ตามสไตล์ของผม ก่อนที่จะพาไปรีวิวก็ต้องขออธิบายประวัติคร่าวๆของหอคอยแห่งนี้กันสักเล็กน้อยเพื่อให้เพื่อนๆผู้อ่านได้ทราบเป็นข้อมูลก่อนไปเที่ยวนะครับ

ความเป็นมา

เหตุผลที่สร้างหอคอยแห่งนี้ขึ้นมา ต้องเข้าใจก่อนว่าเป็นเพราะทางญี่ปุ่นต้องการสร้างหอคอยที่ส่งสัญญาณโทรทัศน์ให้ได้ครอบคลุมมากขึ้นแทนที่หอคอยโตเกียวซึ่งทำหน้าที่เป็นสถานที่กระจายสัญญาณมายาวนานและอีกเหตุผลคือ ตึกสูงในโตเกียวเริ่มผุดขึ้นมาบล็อกสัญญาณ ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ "สร้างหอส่งสัญญาณขึ้นมาใหม่ซะเลย" และ project นี้ก็เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2008 และสร้างเสร็จเมื่อต้นปี 2012 และแน่นอนว่าผลพลอยได้ก็คือ การสร้างหอส่งสัญญาณแห่งนี้สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการเปิดหอคอยให้เป็นจุดชมวิวด้วยก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของหอคอยแห่งนี้โด่งดังไปทั่วโลกครับ

ปัจจุบัน Tokyo Skytree มีความสูงถึง 634 เมตรแถมยังได้รับเกียรติให้เป็น "หอคอยที่สูงที่สุดในโลก" พร้อมลงกินเนสบุ๊คเรียบร้อยครับ (แต่อย่าสับสนกับอาคารที่สูงที่สุดในโลก นั่นคือ Burj Khalifa ที่ดูไบ ซึ่งสูง 829.8 เมตรนะครับ มันแยกสถิติกัน) และเพราะความสูงของหอคอยแห่งนี้เองที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนต่างต้องการขึ้นไปชมวิวของโตเกียวจากบนนี้กันรวมทั้งโอทารุคนนี้ด้วยล่ะ ว่าแล้วก็ได้เวลาพาเที่ยวกันแล้วครับ!!!

พาเที่ยว

การมาเที่ยวที่หอคอยแห่งนี้ทำได้หลายวิธีมากๆครับ ส่วนตัวผมเองสะดวกการนั่งรถไฟใต้ดินมาจาก Asakusa เพราะอยู่ห่างออกไปแค่ 2 สถานีเท่านั้น ว่าแล้วก็นั่งรถไฟใต้ดินสาย Asakusa มาลงที่สถานี Oshiage กันครับ จากนั้นจะมีทางเชื่อมเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อว่า Tokyo Solamachi ซึ่งมีของกินอร่อยๆเพียบ รวมทั้งร้านขายขนมของฝากรวมไปถึงร้านขายตุ๊กตาน่ารักๆ อย่าง Rilakkuma Store ก็มีสาขาที่นี่เช่นกันครับ จากนั้นเมื่อเดินทะลุห้างฯมาแล้ว เราก็จะเจอกับหอคอยสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงเบื้องหน้าของเราครับ!

พอเพื่อนๆเห็นหอคอยแล้วก็เดินเข้ามาที่ประตูทางเข้าได้เลยครับ (จุดที่ขายตั๋วนี้คือ ชั้น 4 นะครับ ไม่ใช่ชั้นหนึ่ง) จากนั้นจะเห็นเคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ด้านหน้าก็เดินเข้าไปซื้อตั๋วได้เลย!! ส่วนราคาค่าขึ้นไปชมนั้น ถือว่ามีหลายราคามากๆครับ ว่าแล้วผมก็ขอเอาภาพจากเว็บไซต์ของ Tokyo Skytree แปะให้ดูเลยจะง่ายที่สุดดังนี้

ขอบอกสักนิดว่า จริงๆจุดชมวิวของที่นี่จะมี 2 ชั้นนะครับ คือ Tembo Deck 350 แล้วก็ Tembo Galleria 450 ยังไงถ้าจะขึ้น เขาจะบังคับให้เราต้องซื้อตั๋ว Tembo Deck 350 เป็นหลัก ส่วน Tembo Galleria 450 อารมณ์เหมือน extra คือ มันจะขึ้นไปสูงกว่าและเราจะขึ้นไปต่อหรือไม่ก็ได้ (ใครจะขึ้นต่อก็ซื้อตั๋วได้จากชั้น 350 นี่แหละครับ แต่บอกเลยว่าคิวยาวมาก) ส่วน Fast Skytree Ticket ก็คือ ตั๋ว express สำหรับบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ลัดคิวช่วงรอลิฟต์ไปชั้น 350 ครับ โดยนักท่องเที่ยวต้องแสดง passport ตัวจริงให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก่อนซื้อนะครับ แน่นอนว่า ราคาก็จะแพงขึ้นมาอีกหน่อย (แต่ถ้าใครมีเวลาไม่มากก็โอเค ถือว่าซื้อเวลา)

ส่วนตัวโอทารุเอง ผมขอขึ้นแค่ชั้น Tembo Deck 350 ก็พอครับเพราะแค่นั้นก็สูงแล้วล่ะ อีกอย่างก็คือ "อยากเซฟเงิน" นั่นเอง ว่าแล้วผมก็ซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์แล้วต่อแถวรอครับ ในวันที่ผมไปนั้นถือเป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศก็เริ่มจะร้อนแล้ว นักท่องเที่ยวเองก็เยอะเช่นกัน (โดยเฉพาะชาวจืน) ส่วนแถวก็ยาวเป็นหางว่าวเลยล่ะ แต่โชคดีที่ทีมเจ้าหน้าที่ของหอคอยบริหารจัดการดีครับทำให้แถวก็ขยับไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้น่าเบื่อมาก อ้อ! ถ้ามากันเป็นกลุ่ม ผมแนะนำว่า ตอนใกล้ๆจะได้ขึ้นลิฟต์เจ้าหน้าที่อาจจับคุณแบ่งแถวเพื่อทยอยขึ้นข้างบนนะครับ ถ้ามากับเพื่อนๆก็บอกเจ้าหน้าที่สักนิดว่ามาด้วยกันนะครับ จะได้ขึ้นไปพร้อมๆกัน ส่วนผมเองนั้น รอต่อคิวไปเรื่อยๆราว 45 นาที ในที่สุดประตูลิฟต์ที่จะพาผมขึ้นไป Tembo Deck 350 ก็เปิดออกครับ

ด้านบนเป็นอย่างไร

เมื่อลิฟต์เปิดออก เราก็จะได้พบกับกลุ่มคนที่กำลังยืนรุมอยู่ที่ริมกระจกเพื่อชมวิวครับ ผมเองก็ค่อยๆเดินสำรวจไปทีละด้าน โดยหอคอยแห่งนี้จะมีเสาบอกทิศให้ครับว่าเราอยู่ทิศเหนือใต้ออกตกพร้อมกับมีป้ายข้อมูลบอกด้วยว่าสถานที่สำคัญในแต่ละทิศมีอะไรบ้าง ผมเองก็ถ่ายรูปสถานที่สำคัญๆไว้ได้หลายแห่งครับ ที่เห็นชัดเจนมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นแม่น้ำสุมิดะและวัด Sensoji หรือที่ชาวไทยนิยมเรียกวัด Asakusa นั่นเอง เด่นมาเชียวล่ะครับ ส่วนด้านอื่นๆก็จะเป็นตึกรามบ้านช่องซะส่วนมาก ส่วนไฮไลต์เด็ดที่ผมอยากเห็นแต่ไม่ได้เห็นก็คือ ฟูจิซัง ครับ วันนี้เธอขี้อายและท้องฟ้าก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย พยายามมองออกไปนอกเขตโตเกียวก็เจอเมฆบังหมดแล้วครับ เสียใจจริงๆ อ่ะ ไม่เป็นไรๆ ไว้ค่อยมาแก้ตัวใหม่ก็ได้ เชิญชมรูปที่ผมถ่ายได้ไปพลางๆก็แล้วกันนะครับ

อันนี้ทริคเล็กๆน้อยๆ สำหรับใครที่อยากเห็นฟูจินะครับ ผมแนะนำให้มาช่วงที่ญี่ปุ่นมีอากาศหนาวครับ เพราะจะเป็นช่วงที่ท้องฟ้ามีโอกาสเปิดมากกว่าช่วงหน้าร้อนและฟูจิก็จะมีหิมะอยู่บนยอดด้วย ถ้าได้เห็นก็ต้องบอกว่าโชคดีมากครับ ว่าแล้วก็เอารูปจากเว็บไซต์อื่นไปดูยั่วน้ำลายกันก่อนก็แล้วกันเนอะ (ดูตรงกลางภาพจะเห็นภูเขาสีขาวๆน่ะครับ นั่นแหละฟูจิซัง)

สำหรับด้านบนชั้น 350 นี้ หากใครหิวก็มีร้านกาแฟไว้บริการเติมพลังแถมห้องน้ำก็มี ไม่ต้องห่วงนะครับ (แต่คนจะเยอะหน่อยนะ)

จากนั้นเมื่อชมวิวโดยรอบจนหนำใจและ(คิดว่า)คุ้มค่าตั๋วแล้ว ถ้าใครจะขึ้นไปต่อที่ชั้น Tembo Galleria 450 ก็ให้ไปซื้อตั๋วที่อยู่ตรงใกล้ๆลิฟต์แล้วต่อคิวรอลิฟต์ขึ้นไปด้านบนนะครับ บอกก่อนว่าระหว่างชั้น 350 กับ 450 "ไม่มีบันไดนะครับ" ต้องรอลิฟต์สถานเดียว ส่วนใครที่ซื้อตั๋วแบบ Fast มานั้น สิทธิ์ของคุณจะใช้ได้ถึงแค่ชั้น 350 นะครับ ส่วนการขึ้นชั้น 450 ก็ต้อง "ต่อคิวตามปกติ" จ้า...(ผมแนะนำเพื่อนๆที่จะขึ้นให้เข้าห้องน้ำก่อนยืนรอครับ ดูภาพด้านล่างสิ คนรอขึ้นไปชั้น 450 เพียบเลย)

ตัวโอทารุเองซึ่งไม่ได้ขึ้นไปต่อก็มองหาบันไดลงไปที่ชั้น 345 ครับ ซึ่งชั้น 345 นี้ก็เป็นที่ตั้งของร้านอาหาร Skytree Restaurant และร้านขายของที่ระลึกด้วยนะครับ ส่วนลิฟต์ลงไปที่พื้นดินจะอยู่ที่ชั้น 340 แต่ก่อนลงก็จะมีพื้นกระจกที่สามารถมองลงไปเห็นพื้นข้างล่างให้คนกลัวความสูงได้หวาดเสียวเล่น ดูภาพประกอบได้ครับ อิอิ เสียวไม่เสียวอยู่ที่แต่ละบุคคลแล้วล่ะงานนี้

ลิฟต์ขาลงนั้น รอไม่นานเหมือนขาขึ้นครับ สักพักผมก็ได้กลับลงมาตรงชั้น 4 บริเวณใกล้กับจุดขายตั๋วเมื่อตอนขามา และเมื่อเสร็จจากตรงนี้ผมก็เดินเข้าห้าง Tokyo Solamachi เพื่อไปแวะร้าน Rilakkuma Store ก่อนเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Oshiage เพื่อนั่งรถไฟไปเที่ยวย่านอื่นในกรุงโตเกียวและก็ถิอเป็นอันจบการรีวิวการขึ้นหอคอย Tokyo Skytree แห่งนี้ครับ และก่อนปิดท้ายบล็อกในวันนี้ ผมขอแถมวิธีการเดินทางมาที่หอคอยชื่อดังแห่งนี้พร้อมเวลาทำการให้เพื่อนๆได้ทราบเป็นข้อมูลกันครับ 

วิธีการเดินทาง : มีหลายวิธีครับ แต่ในที่นี้ผมขอแนะนำ 5 วิธีที่สะดวกและเหมาะกับนักท่องเที่ยวอย่างเราก็แล้วกันนะครับ

1. นั่งรถไฟใต้ดินสาย Asakusa Line (A) ลงที่สถานี Oshiage แล้วเดินเข้าห้างสรรพสินค้าพร้อมตามป้ายบอกทางได้เลยครับ

2. นั่งรถไฟใต้ดินสาย Hanzomon Line (Z) ลงที่สถานี Oshiage แล้วใช้วิธีเดียวกับข้อ 1 เลยครับ (ทางออกขึ้นห้างใช้ทางเดียวกัน)

3. นั่งรถไฟเอกชนของบริษัท Tobu ไปลงที่สถานี Tokyo Skytree ได้เลย (ห่างจากสถานี Tobu Asakusa แค่ป้ายเดียว)

4. นั่ง shuttle bus จากสถานีรถไฟ Ueno มาลงที่ห้าง Solamachi แล้วเดินทะลุห้างนี้ไปที่ Tokyo Skytree ครับ

5. นั่ง shuttle bus จากสถานีรถไฟ Tokyo มาลงที่ห้าง Solamachi แล้วก็ทำแบบเดียวกับข้อ 4 ครับ

เวลาทำการ

-เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด ระหว่างเวลา 08:00-22:00 น. (เข้ารอบสุดท้ายเวลา 21:00 น.) ทั้งนี้ ช่วงปีใหม่อาจทำการยืดเวลาเปิดออกไปครับ

และทั้งหมดนี้ก็คือ รีวิวพาขึ้น Tokyo Skytree แล้วพบกันใหม่กับบล็อกท่องเที่ยวญี่ปุ่นในสัปดาห์ถัดไปจาก Otaru Taichou นะครับ สวัสดีครับทุกคน ^^

---------------------------------------------------------------

ข้อมูลประกอบการเขียนบล็อกและราคาจาก http://www.tokyo-skytree.jp/en/

ภาพปกจาก https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/76/Interior_of_Tokyo_Skytree_1.jpg/1024px-Interior_of_Tokyo_Skytree_1.jpg

ภาพฟูจิซังจาก https://ensummerfield84.wordpress.com/2014/01/13/through-the-window-in-tokyo-sky-tree/

ภาพที่เหลือที่มีลายน้ำเป็นของโอทารุทั้งหมดครับ ใครจะนำไปใช้กรุณาขออนุญาตก่อนนะครับ

---------------------------------------------------------------

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร

เพื่อนๆสามารถร่วมพูดคุยหรือสอบถามเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับผมได้ด้วยการพิมพ์ชื่อ Otaru Taichou ในช่องค้นหาของ Facebook แล้วกดเพิ่มเพื่อนครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปกดตกลงเองครับ!

เปรียบมวยสนามบินนาริตะ & ฮาเนดะ : เลือกไปลงที่ไหนด...
ข่าวร้าย! ตั๋วเครื่องบินของการบินไทยเตรียมขึ้นราคา...